รายการ หมอนอกะลา
ตอน ไตรกลีเซอไรด์ ตัวแสบ ที่ไม่มีเลยก็ไม่ได้
เมื่อเรา ๆ ท่าน ๆ ไปตรวจสุขภาพ ก็จะมีค่าต่าง ๆ มากมาย ซึ่งก็อ่านกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่จะมีช่วงค่าปกติมาให้ บางที่ก็กำหนดที่ 30-170 บ้างบางที่ก็ 50-200 บ้าง ผมแนะนำอย่างนี้ครับในผู้มีอายุเกิน 30 ปี
• ปกติ น้อยกว่า 150 mg/dL
• ค่อนข้างสูง 150-199 mg/dL
• สูง 200-499 mg/dL
• สูงมาก > 500 mg/dL
และเมื่อได้ผลการตรวจมาแล้วก็ทำให้เป็นกังวลและบางท่านก็ได้ยามาเป็นของแถม วันนี้มาทำความรู้จักเจ้าตัวแสบตัวนี้กัน ให้ลึกซึ้ง ยาวหน่อยนะอย่าว่ากัน
ไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) หรือไตรเอซิลกลีเซอรอล (Triacylglycerol) เป็นไขมันที่ประกอบด้วยกรดไขมันสามโมเลกุลรวมตัวกับกลีเซอรอลหนึ่งโมเลกุล กรดไขมันที่มาประกอบเป็นไตรกลีเซอไรด์นั้นอาจจะเป็นกรดไขมันชนิดเดียวกัน เช่น ไตรสเตียริน มีกรดสเตียริกเป็นองค์ประกอบเท่านั้น หรือเป็นกรดไขมันคนละชนิด เช่น 1-พาล์มิโทสเตียริน (1-Palmitostearin) หมายถึงไตรกลีเซอไรด์ที่กรดไขมันตัวแรกเป็นกรดพาล์มมิติก ส่วนกรดไขมันตัวที่ 2 และ 3 เป็นกรดสเตียริก เป็นพลังงานสะสมในสัตว์ และใช้สะสมใต้ผิวหนังเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย โดยสะสมในเซลล์ไขมัน (Adipocyte หรือ Fat cell) ในรูปเม็ดไขมัน หรืออยู่ในรูปไมเซลล์ (Micelle)
ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันที่มาจาก 2 แหล่งได้แก่ ตับสร้างขึ้นใหม่ และมาจากอาหารไขมันโดยตรง
ร่างกายคนเรา (ตับ) สร้างไตรกลีเซอไรด์จากอาหารกลุ่มให้กำลังงาน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต (แป้ง-น้ำตาล), ไขมัน, และโปรตีน (ถั่ว-เนื้อ-นม-ไข่-โปรตีนเกษตร-เต้าหู้)
...
ร่างกายเราใช้ไตรกลีเซอไรด์เป็นแหล่งกำลังงานได้ โดยมีการนำไปฝากไว้ที่บัญชีไขมันในธนาคารใหญ่ คือ เซลล์ไขมันทั่วร่างกาย
เมื่อต้องการใช้... จะทำการถอนออกจากบัญชีมาใช้ตรงกันข้ามถ้ามีเกินความต้องการก็จะนำไปฝากไว้ที่เนื้อเยื่อไขมัน ก็ทำให้ธนาคารร่ำรวยขึ้น หรือทำให้อ้วนขึ้นนั่นเอง
...
ไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝ่ายร้าย คือ ทำให้โคเลสเตอรอลฝ่ายดี (HDL ซึ่งทำหน้าที่ช่วยทำความสะอาดผนังหลอดเลือด) มีอายุสั้นลง + โคเลสเตอรอลฝ่ายร้าย (LDL ทำหน้าที่นำคราบไขมันไปทิ้งไว้ตามผนังหลอดเลือด) แทรกซึมเข้าไปในผนังหลอดเลือดได้มากขึ้น
นอกจากนั้นยังสะสมในตับ ทำให้เกิดโรคไขมันจับตับ (fatty liver) ซึ่งเพิ่มเสี่ยง (ความน่าจะเป็น) โรคตับอักเสบ และตับแข็งได้ และหน้าที่นี้ไม่น่าปรารถนาซักเท่าไหร่ ว่ามั๊ย
ปัญหาและอันตรายจากโรคไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด
ทำให้ หลอดเลือดแดงแข็งตัว ถ้าเกิดที่หัวใจทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ถ้าเกิดที่สมองทำให้เป็นอัมพาต หรือ ทำให้เกิดอาการร่วมคือ ปวดท้อง ตับโต ม้ามโต และทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติ ปวดข้อ
แหล่งอาหารที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
ได้แก่ อาหารทุกชนิดที่มีปริมาณไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันสัตว์ น้ำตาล อาหารรสหวานจัด ขนมหวานทุกชนิด เนื่องจากร่างกายสามารถนำไปสร้างเป็นไตรกลีเซอไรด์
แล้วจะลดอย่างไรล่ะ มาว่ากันตามนี้นะ
• (1). ลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักเกิน
• (2). เปลี่ยนไขมันอิ่มตัวซะ
• (3). ลดไขมันทรานส์ ซึ่งมีมากในเบเกอรี ขนมกรุบกรอบ อาหารจานด่วน ฟาสต์ฟูด เนยขาว (shortening / ชอตเทนนิง) ที่ใช้ทำเบเกอรี, เนยเทียม (ครีมเทียมหรือคอฟฟี่เมต)
• (4). ลดโคเลสเตอรอลในอาหาร
.(5). ลดแอลกอฮอล์ แม้แต่เหล้า เบียร์ ไวน์ หรือแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยก็เพิ่มไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้มาก
• (6). กินผัก, ผลไม้ทั้งผลหรือน้ำผลไม้ปั่นรวมกาก (ไม่ใช่น้ำผลไม้กรองกาก) เป็นประจำ
• (7). เปลี่ยนนมและผลิตภัณฑ์นมจากไขมันเต็มส่วน ("นมจืด" ทั่วไปเป็นนมไขมันเต็มส่วน) เป็นนมไขมันต่ำ (low fat) หรือนมไม่มีไขมัน (nonfat)หรือไม่กินซะจะดีกว่าเยอะเลย
• (8). ออกกำลังแรงปานกลาง เช่น เดินเร็ว (100 ก้าว/นาที หรือ 25 ก้าว/15 วินาที หรือเดินจนพูดได้ 3-5 คำก็เหนื่อย) ฯลฯ 30 นาที/ครั้ง x 5 ครั้ง/สัปดาห์ขึ้นไป
...
• (9). ลดน้ำตาล เครื่องดื่มเติมน้ำตาล และน้ำผลไม้ (ถ้าชอบน้ำผลไม้... ควรกินน้ำผลไม้ปั่นรวมกาก โดยปั่นรวมทั้งผล แทนน้ำผลไม้แยกกาก หรือไม่ก็ดื่มน้ำผัก เช่น น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ แทน เนื่องจากน้ำผักมีน้ำตาลต่ำกว่าน้ำผลไม้)
• (10). เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง หรือขนมปังขาวเป็นขนมปังโฮลวีท (เติมรำ) และไม่กินข้าวมากเกินไป โดยลดข้าวลง ใส่ผักปริมาณเท่ากัน เช่น แตงกวา มะเขือเทศ ฯลฯ เข้าไปแทน
• (11). กินปลาทะเลที่ไม่ผ่านการทอด 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
• (12). รับแสงแดดอ่อนตอนเช้า-เย็น (ก่อน 9.00 น. หรือหลัง 16.00 น.) อย่างต่ำวันละ 10-15 นาที ซึ่งถ้าออกกำลังไปด้วย เช่น เดิน เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ฯลฯ น่าจะดี เพื่อได้ออกกำลัง + ให้ร่างกาย (ผิวหนัง) สร้างวิตามิน D มากพอ
ก็ไม่เห็นจะยากว่ามั๊ย มาลดกันเถอะนะ ถ้าท่านทั้งหลายเคยเข้าไปเห็นว่าภาษีขอท่านต้องใช้ไปเพื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้มากเพียงใด
สวัสดี