ทำไมสมองจึงต้องการกรดไขมันโอเมก้า 3
สมองของมนุษย์ประกอบด้วยไขมันเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่น่าแปลกใจที่โอเมก้า 3 จะเชื่อมโยงกับสุขภาพของอวัยวะสำคัญนี้อย่างใกล้ชิด
กรด Eicosapentaenoic (EPA)
และกรด Docosahexaenoic (DHA) เป็นรูปแบบของไขมันโอเมก้า 3 ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาการทำงานของสมองให้เป็นปกติในผู้ใหญ่ (1) ไขมันเหล่านี้สร้างเยื่อหุ้มเซลล์และส่งเสริมการสร้างเซลล์สมองใหม่
โอเมก้า 3 และสมอง
ไขมันโอเมก้า 3 ถูกแนะนำให้ใช้เพื่อช่วยรักษาสุขภาพสมอง การศึกษาได้เปิดเผยความเชื่อมโยงระหว่างความไม่สมดุลของโอเมก้า 3 จากการควบคุมอาหารกับการทำงานของสมองที่บกพร่องและโรคเกี่ยวกับการรับรู้ (2)
สมองประกอบด้วยเซลล์มากกว่า 1แสนล้านเซลล์และกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์เหล่านี้ ไขมันเหล่านี้จับกับเยื่อหุ้มเซลล์ที่เพิ่มความลื่นไหล ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของเซลล์สมองแต่ละเซลล์ (3) ข้อดีของความลื่นไหลของเมมเบรนคือช่วยให้สมองเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเข้ากับข้อมูลใหม่ นอกจากนี้ โอเมก้า-3 ในเยื่อหุ้มเซลล์ยังช่วยการทำงานของตัวรับสารสื่อประสาท ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการสื่อสารข้อมูลในสมอง (4) สารสื่อประสาทเป็นสารเคมีในสมองที่สื่อสารข้อมูลไปทั่วสมองและร่างกาย
การศึกษาเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าโอเมก้า 3 อาจเพิ่ม BDNF (the brain’s growth hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนการเจริญเติบโตของสมอง (5) ในทางกลับกัน สิ่งนี้จะเพิ่มการผลิตผู้ส่งสารในสมองในขณะที่ลดการทำลายล้าง
โอเมก้า 3 และความผิดปกติของสมอง
การวิจัยที่เกิดขึ้นใหม่ชี้ให้เห็นถึงบทบาทระหว่างโอเมก้า 3 กับความผิดปกติของการรับรู้ เช่น ภาวะซึมเศร้า ไบโพลา โรคจิตเภท และสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder - ADHD) แม้ว่าการวิจัยจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่การศึกษาทางระบาดวิทยาหลายชิ้นได้เชื่อมโยงระดับโอเมก้า 3 ในระดับต่ำในบุคคลที่มีภาวะสุขภาพเหล่านี้ (6)
การเสื่อมของสมองตามปกตินั้นมีปัจจัยหลายประการ รวมถึงการลดปริมาตรและน้ำหนักของสมองและการเปลี่ยนแปลงของปริมาณไขมันจากเยื่อหุ้มเซลล์
สมองที่มีอายุมากขึ้นจะมีความอ่อนไหวต่อการพัฒนาโรคทางระบบประสาทมากขึ้น เนื่องจากดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นระหว่างการบริโภคโอเมก้า 3 กับการสนับสนุนด้านความรู้ความเข้าใจ นักวิจัยเชื่อว่าโอเมก้า 3 โดยเฉพาะ DHA อาจช่วยสนับสนุนสุขภาพสมอง (7)
โอเมก้า-3 ที่เหมาะสม
กรดไขมันโอเมก้า 3 มีอยู่สามแหล่ง:
กรด Eicosapentaenoic (EPA)
กรด docosahexaenoic (DHA)
กรด Alpha-linolenic (ALA)
EPA และ DHA มีประโยชน์ต่อสมองมากที่สุด (8) ประเภทนี้พบมากในปลาน้ำเย็น ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า ปลาเฮลิบัต และเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยหญ้า สาหร่ายทะเลก็ยังเป็นผู้ผลิต EPA และ DHA สูง แต่ปัญหาคือทะเลเต็มไปด้วยโลหะหนัก ดังนั้นแหล่งปรอทที่ต่ำกว่าของไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ ปลากะตัก ปลาเฮอริ่ง หอยนางรม ปลาซาร์ดีน รวมถึงน้ำมันคริล (Krill oil)
ALA พบได้ในอาหารจากพืช รวมทั้งเมล็ดแฟลกซ์ วอลนัทและอะโวคาโด เพื่อให้ ALA มีผลที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันกับ EPA และ DHA ในสมอง ร่างกายต้องแปลงมัน (7) เนื่องจากพวกเราหลายคนไม่ได้ทำการแปลงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรค้นหาแหล่งที่เชื่อถือได้ของ DHA และ EPA
Omega-3 และ Omega-6
โอเมก้า 6 เป็นกรดไขมันจำเป็น ซึ่งหมายความว่าต้องได้รับจากอาหาร พวกเขายังมีความสำคัญต่อการทำงานของสมองแต่ไม่สำคัญเท่ากับโอเมก้า 3
โอเมก้า 3 เป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนต้านการอักเสบ ซึ่งสามารถช่วยลดการอักเสบในสมองได้ (9)
Omega-6 เป็นสารตั้งต้นของโมเลกุลที่ทำให้เกิดการอักเสบ การอักเสบมีความสำคัญในปริมาณที่พอเหมาะ ปัจจุบัน อัตราส่วนของโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 ส่วนใหญ่ไม่เหมาะสมเนื่องจากอาหารสมัยใหม่ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 6 อย่างมาก รวมถึงอาหารแปรรูป อาหารจานด่วนและน้ำมันพืช
อัตราส่วนของโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3ที่สูงจะทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะอักเสบ การศึกษาแนะนำว่าอัตราส่วนที่สูงของโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 นี้สัมพันธ์กับการอักเสบที่แย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งรวมถึงในสมองด้วย เนื่องจากโอเมก้า 3 แข่งขันกับโอเมก้า 6 เพื่อรวมไว้ในเยื่อหุ้มเซลล์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรักษาอัตราส่วนของโอเมก้า 3 อย่างเหมาะสมเพื่อส่งเสริมสถานะต้านการอักเสบ (10)
อาหารสมัยใหม่ส่งเสริมอัตราส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 สูงถึง 15 ต่อ 1 การวิจัยชี้ให้เห็นว่าเราควรเลือกใช้อัตราส่วนที่ใกล้เคียงกับ 1:1 เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด (11) สามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 มากขึ้น เช่น ปลาน้ำเย็นและอาหารเสริมเมื่อจำเป็น ควบคู่ไปกับการลดอาหารแปรรูปและน้ำมันพืช
หมวดอาหารเสริมป๋า
Paa super h ประกอบด้วย
Krill oil
น้ำมันอะโวคาโด
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์
สำหรับท่านที่ต้องการปรับปรุงสมองหรือคงไว้ซึ่งทั้งปริมาตรและน้ำหนักของสมอง
แนะนำ
2 ซอฟเจลหรังอาหาร 3 มื้อ สำหรับผู้ใหญ่ หรือวันละ 6 ซอฟเจลต่อวัน
1 ซอฟเจลหรังอาหาร 3 มื้อ สำหรับอายุ 6 – 12 ปี
1 ซอฟเจลหลังอาหาร เช้า เย็น สำหรับเด็ก 1 – 5 ปี
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
อ้างอิง
1. Horrocks LA, Yeo YK: Health Benefits of docosahexaenoic acid (DHA). Pharmacol Res. 1999;40(3):211-25. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10479465
2. Chang CY, Ke DS, Chen JY: Essential fatty acids and human brain. Acta Neuro Taiwan. 2009;18(4):231-41. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20329590
3. Calder PC: Omega-3 Fatty Acids and Inflammatory Processes. Nutrients. 2010;2(3): 355-74. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3257651/
4. Tanaka K, Farooqui AA, Siddiqi, NJ, et. al: Effects of Docosahexaenoic Acid on Neurotransmission. Biomol Ther (Seoul). 2012;20(2):152-57. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3792211/
5.Wu A, Ying Z, Gomez-Pinilla F.: Dietary omega-3 fatty acids normalize BDNF levels, reduce oxidative damage, and counteract learning disability after traumatic brain injury in rats. J Neurotrauma 2004;21(10):1457-67. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15672635
6. Peet M, Stokes C. : Omega-3 fatty acids in treatment of psychiatric disorders. Drugs. 2005;65(8): 1051-9. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15907142
7. umm.edu [Internet]. Baltimore: University of Maryland Medical Center; c2017 [cited 2017 May] Available from: umm.edu
8. Kidd PM: Omega-3 DHA and EPA for cognition, behavior, and mood: clinical findings and structural-functional synergies with cell membrane phospholipids. Altern Med Rev. 2007;12(3): 207-27. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18072818
9. Wyss-Coray T., Rogers J: Inflammation in Alzheimer Disease—A Brief Review of the Basic Science and Clinical Literature. Cold Spring Harb Perspect Med. 2012;2(1): a006346. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3253025/
10. Patterson E, Wall R. et. al Health Implications of High Dietary Omega-6 Polyunsaturated Fatty Acids. J Nutr Metab. 2012;539426. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3335257/
11. Simopoulos AP: The Importance of the ratio of omega-6/omega-3 essential fatty acids. Biomed Pharmacother 2002;56(8):365-79. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/12442909