รายการ หมอนอกกะลา
ตอน ฮอร์โมนกับสุขภาพและการรักษาโรค
ถ้าท่านทั้งหลายมีเวลาจำกัดเหมือนผม ลองนะ ...ยืนหลับตาหรือเดินช้าๆในท่าเดินจงกรมหลับตาเอียงหน้าราว 45 องศาเข้าหาแสงอาทิตย์ ยามเช้าไม่เกิน 9 โมงหรือยามเย็นหลัง 4 โมงเย็นแล้ว ภาวนา แผ่เมตตาจนรู้สึกขนลุกซู่ แค่นั้นแหละครับ ฮอร์โมนดี ๆ ก็มาแล้วล่ะครับ
ในความคิดของแพทย์ที่ไม่นิยมใช้สารเคมีกับร่างกายหลายท่านทั่วโลกให้ความสำคัญของสารอาหารต่อร่างกาย ร้อยละ 70 และฮอร์โมน ร้อยละ 30 แต่สำหรับผมและเพื่อนรักของผม Dr.John Bergman เราให้ความสำคัญของสารอาหารถึงร้อยละ 75 และฮอร์โมนร้อยละ 25
ไม่ว่าจะเป็นการฝังเข็ม การกดจุด การนวดแรง ๆ หรือการทำกัวซา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการทำให้เซลล์เจ็บปวดแล้วเรียกฮอร์โมนมาใช้ในการรักษา ดังนั้นก็ต้องคิดซิว่า ฮอร์โมนได้มาจากไหน ก็มาจากสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างฮอร์โมนก่อนเสมอ
ถ้าท่านอ่านทุกโพสต์ของผมจะสังเกตเห็นได้ว่า ร่างกายมนุษย์จะไม่ป่วย ไม่ติดเชื้อ ไม่เป็นมะเร็ง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่เป็นความดัน หรือโรคอะไรเยอะ ๆ มากมาย เพียงแค่เรารักษาค่าความเป็นกรดด่างให้ได้ที่ระดับ pH 7.34
cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ร่างกายเป็นกรด ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วมันเกิดตอนมีภาวะกดดันหรือความเครียด
Adrenaline เป็นสารแห่งความโกรธ ดุเดือด มีพลัง พร้อมสำหรับการต่อสู้ ป้องกันตัว
ฮอร์โมนพวกนี้อยู่ในกลุ่มที่กดการทำงานของสมอง สารกลุ่มนี้จะทำหน้าที่
ยับยั้งการส่งข้อมูลของแต่ละเซลล์สมอง
ยับยั้งการเจริญเติบโตของสมองและใยประสาท
ยับยั้งเส้นทางความจำทุกๆส่วน ทำให้คิดอะไรไม่ออก
กระตุ้นให้หัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด และร่างกายทำงานผิดปกติ และถ้ามีมากเกินไป จะมีอันตรายต่อทั้งอารมณ์และร่างกาย รวมทั้งทำลายองค์ประกอบภายในของสมองอีกด้วย
ENDORPHINE ฮอร์โมนแห่งความสุขและทำให้ร่างกายเป็นด่าง
นอกจากนี้เอ็นดอร์ฟินยังมีผลต่อการควบคุมการสร้างฮอร์โมนเพศ (sex hormones) และที่สำคัญ สามารถส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune system) อีกด้วย
มันมีสรรพคุณในการช่วยระงับปวด เป็นเหมือนยาแก้ปวดตามธรรมชาติ เช่น ในกรณีการคลอดบุตร เมื่อมารดาได้สัมผัสทารกเป็นครั้งแรก เรามักจะเห็นน้ำตาแห่งความปีติสุข ในขณะนั้นฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินได้หลั่งออกมาเต็มที่ ความเจ็บปวดจากการคลอดของมารดาได้เบาบางลง ผลของเอ็นดอร์ฟินนอกจากจะช่วยระงับปวดแล้ว ยังช่วยให้มารดานอนหลับพักผ่อนได้สนิทมากยิ่งขึ้น
ฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อเราเกิดความสุขใจ หรือเมื่อเกิดความปีติสุข เช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน การออกกำลังกาย การฟังดนตรี การทำงาน ศิลปะ การได้รัก ได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก (โดยพบว่ามีการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินอย่างมากในช่วง orgasm) ดังนั้นกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขย่อมมีส่วนส่งเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เสมอ เอ็นดอร์ฟินเป็นอาวุธที่ธรรมชาติได้มอบให้มนุษย์นำไปใช้ทลายกำแพงความเครียด ความทุกข์ เราจึงควรหากิจกรรมที่ทำให้เกิดความสุขเพื่อเป็นอาวุธประจำกายของตัวเราเอง
สารเอ็นดอร์ฟินยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายทำลายเซลล์ที่มีปัญหาและเซลล์มะเร็ง และช่วยทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและไม่ตัน ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และเส้นเลือดในหัวใจตีบตัน
สารเอ็นดอร์ฟิน ยังมีผลด้านจิตใจ ที่สำคัญ คือ
ลดความเครียด
ส่งเสริมปฏิกิริยาโต้ตอบแบบเฉียบพลัน
ส่งเสริมการเรียนรู้และความจำ
สร้างเสริมแรงจูงใจ
ป้องกันภาวะผิดปกติทางจิตใจ เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า
เมลาโทนิน ( Melatonin) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่เซลล์ไพเนียล ( pinealocytes) ซึ่งอยู่ในต่อมไพเนียล (pineal gland) เป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนกลาง และช่วยการกระตุ้นการปรับเปลี่ยนระบบนาฬิกาของร่างกาย (circadian rhythm)
เมลาโทนิน เป็นฮอร์โมนที่เกิดจากการสังเคราะห์มาจากกรดอะมิโน ทริปโตเฟน (Tryptophan) โดยมีการสร้างขึ้นที่ลำไส้ใหญ่ จอตาและต่อมไพเนียล โดยมีความมืดเป็นตัวกระตุ้นและหยุดหลั่งเมื่อเจอแสงสว่าง ปริมาณของเมลาโทนินจะเพิ่มสูงขึ้นในตอนกลางคืนเริ่มตั้งแต่ประมาณ 22 นาฬิกา ปริมาณสูงสุดประมาณ 3 นาฬิกา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลด้วย ประโยชน์ของเมลาโทนินนั้นเชื่อกันว่าช่วยบรรเทาอาการเพลียหลังการโดยสารเครื่องบิน (Jet-Lag) และการทำงานเป็นกะซึ่งยังมีข้อโต้แย้งเรื่องคุณสมบัตินี้กันอยู่ เมลาโทนินถือว่าเป็นสารที่ช่วยปรับสภาพร่างกายในรอบวันเพราะคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับความสว่างและความมืด (circadian rhythm) เมลาโทนินเหนี่ยวนำให้เกิดการนอนหลับลึก ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth hormone) ความผิดปกติเรื้อรังของการนอน อาจทำให้หยุดการเจริญเติบโตก่อนเวลาอันควร ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ของเมลาโทนินยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
อาการซึมเศร้าในฤดูหนาว
ในฤดูหนาวนั้นช่วงเวลากลางวันจะสั้น ทำให้ระหว่างวันร่างกายมีระดับปริมาณของเมลาโทนินในเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย มีปัญหาเรื่องการนอนและอาการซึมเศร้าในฤดูหนาว ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการดังกล่าวจึงควรจะไปเดินเล่นให้ได้รับแสงแดดหรืออาจจะไปรับการรักษาด้วยแสงบำบัด
ปัญหาการนอนและความจำ
ระดับเมลาโทนินที่ต่ำเกินไปอาจจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของการนอน เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตเมลาโทนินน้อยลง ส่งผลให้เวลานอนของผู้สูงอายุโดยเฉลี่ยแล้วลดน้อยลงและประสบกับปัญหานอนไม่หลับบ่อยครั้ง รวมทั้งการทำงานที่ต้องเปลี่ยนกะ และอาการ Jet-lag ก็จะทำให้ปริมาณเมลาโมนินต่ำเกินไป เนื่องมาจากการนอนหลับพักผ่อนเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำงานของหน่วยความจำ เหตุผลหนึ่งอาจเป็นอิทธิพลของเมลาโทนินที่อยู่ในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (hypocampus) โดยพื้นที่ของสมองส่วนนี้สำคัญสำหรับการเรียนรู้และความจำ เมลาโทนินเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของเซลล์ประสาทชนิดนี้ ซึ่งจะเป็นเซลล์ประสาทที่สามารถเกิดกลไก ไซแนปติก พลาสติซิตี้ (synaptic plasticity) ที่ช่วยในการปรับเปลี่ยนระบบนาฬิกาของร่างกาย (circadian rhythm)
ประโยชน์ของเมลาโทนินด้านต่างๆมีดังนี้:
•การป้องกันอาการไมเกรน
•กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
•จับกับอนุมูลอิสระและมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลให้สามารถ ชะลอริ้วรอยแห่งวัย ต่อสู้หรือป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน โรคหัวใจ
เห็นมั๊ยล่ะครับ การมีชีวิตที่ดีไมยากอย่างที่คิด ลองทำนะครับ
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี