รายการ หมอนอกกะลา
ตอน พิษพลศาสตร์ (Toxicodynamics)
สารพิษสามารถเกิดพิษโดยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านชีวเคมีและสรีรวิทยาของเซลล์ ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ และก่อให้เกิดภาวะวิกฤตตามมา ความรุนแรงของการเป็นพิษขึ้นกับชนิดของเนื้อเยื่อ และความเร็วของการทำลายเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อบางชนิดสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้เช่น ตับ ขณะที่เนื้อเยื่อบางชนิดเมื่อสูญเสียแล้วไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้เช่น เซลล์ประสาท เป็นต้น
ฤทธิ์ของสารพิษที่ให้แก่ร่างกายนั้นสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย กลไกการเกิดพิษอาจเกิดขึ้นได้หลายแบบ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างภาวะการเกิดพิษ และกลไกการเกิดพิษของสารพิษและสารบางกลุ่ม
( อ่านยากหน่อยนะ แต่ ลองอ่านดู )
Paracetamol พาราเซตามอล
กลไกการเกิดพิษของยาต่อตับ
Paracetamol ถูกดูดซึมได้ค่อนข้างเร็ว และสามารถดูดซึมได้เกือบ 100% ระดับของยาในเลือดจะสูงสุดประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากรับประทานยา ยาจับกับพลาสม่าโปรตีนประมาณ 25-50% ส่วนยาที่อิสระ (free drug) จะกระจายไปกับน้ำในส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยมีปริมาตรการกระจายเท่ากับ 0.75-1.0 l/kg
ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการทำลาย paracetamol ยาส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนแปลงโดย 2 ขบวนการคือ glucuronidation และ sulfation ในผู้ใหญ่ขบวนการ glucuronidation จะสำคัญที่สุด ส่วนในเด็กขบวนการ sulfation จะสำคัญที่สุด ยาส่วนน้อยอีกประมาณ 5% จะถูกทำลายโดย cytochrome P-450 ซึ่งเป็นระบบที่สำคัญของตับที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงยาต่างๆ ยา paracetamol ส่วนน้อยที่เปลี่ยนแปลงโดยระบบนี้จะถูกเปลี่ยนเป็น toxic intermediate (quinoneimine)
ในสภาวะปกติ คือได้รับยาไม่เกินขนาด toxic quinoneimine จะถูกสร้างขึ้นมาน้อยและถูกglutathione ในตับเปลี่ยนให้เป็นสารประเภท mercapturic acid ซึ่งสามารถขับออกทางปัสสาวะได้ แต่ในสภาวะที่ได้รับยาเกินขนาด toxic quinoneimine จะถูกสร้างขึ้นมามาก จนกระทั่งถึงประมาณที่ glutathione ในตับไม่เพียงพอที่จะจัดการกับ toxic metabolite นี้ได้
สารพิษนี้จะไปมีผลต่อ macromolecules ต่างๆ ของเซลล์เช่น DNA และ essential amino acids ทำให้ molecules เหล่านี้ของตับไม่สามารถทำงานได้ เกิดภาวะ hepatic necrosis จึงเป็นเหตุให้การทำงานของตับล้มเหลวไปในที่สุด
จากกลไกการเกิดพิษของ paracetamol ต่อตับดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าตัวกลางสำคัญที่ทำให้เกิดพิษคือ cytochrome P-450 ซึ่งขณะนี้ทราบกันดีว่าเป็น isozymes หรือ มีหลายรูปแบบ ดังนั้นยาต่างๆ ที่ไปเหนี่ยวนำการทำงานของ cytochrome P-450 เช่น phenobarbital และสุรา (alcohol) จะไปเสริมฤทธิ์การทำลายตับของ paracetamol ได้ แต่อย่างไรก็ดีบุคคลแต่ละคนจะมีความทนทานต่อพิษของ paracetamol ไม่เท่ากัน บางคนได้รับยาพวก paracetamol เกินขนาดโดยระดับยาในเลือดสูง แต่ไม่แสดงอาการของตับอักเสบ และไม่ได้รับอันตรายจากยาเลย
การที่ paracetamol เป็นพิษโดยตรงต่อตับนั้นเนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่มี cytochrome P-450 มากที่สุด และมี activity สูงสุดเมื่อเทียบกับแหล่งอื่นของร่างกาย เช่น ปอด ลำไส้เล็ก และไต ดังนั้นสารพิษ quinoneimine จึงถูกสร้างขึ้นมากที่สุดในตับนั่นเอง
ยาต้านพิษของ paracetamol คือ N-acetylcysteine (Fluimucil) ยาตัวนี้มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายกันกับ glutathione และมีกลไกการทำงานในการแก้พิษ ของ paracetamol ดังนี้คือ ประมาณ 20% ของ N-acetylcysteine จะถูกเปลี่ยนแปลงและนำไปใช้ ในการสร้าง glutathione ซึ่งเป็นสารที่ยับยั้งการสะสมของ quinoneimine ที่เป็น ตัวไปจับและยับยั้งการทำงานของ DNA และ macromolecules กระตุ้นการสร้าง glutathione ในตับและกระตุ้นขบวนการ sulfation
อ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่ปรารถนาให้ใครกินยาแบบ ไร้ความรู้ที่ถูกต้องครับ เพราะ ผลข้างเคียงที่ตามมาในระยะยาวคือสุขภาพของท่านและรายจ่ายอันมหาศาลที่หามายากนะ
สวัสดี
อ้างอิง:
Bryson PD. Organochlorines. In: Comprehensive review in toxicology. Aspen publication, Rockville, Maryland, 1986; 271-273.
Davies JE. Neurotoxic concerns of human pesticide exposures. Am J Ind Med 1990; 18: 327-331.
Presscott LF. Paracetamol overdosage: pharmacological considerations and clinical management. Drugs 1983; 25:290-314.
Presscott LF, Illingworth RN, Critchley JA, et al. Intravenous N-acetylcysteine: the treatment of choice for paracetamol poisoning. Br Med J 1979; 2: 1097.