จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | อาหารเสริมชนิดเม็ด |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
นี่คือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุที่ดีที่สุดในโลกสำหรับผมและเป็นต้นกำเนิด K Cal
ลิงค์ที่ให้ไว้ต่อไปนี้ เขียนมาจากนั้นซื้อเล่มนี้เสียเป็นส่วนใหญ่
กรุณาอ่านให้เข้าใจ
![]() วันนี้บำบัดผู้สูงอายุทั้งนั้นเลยครับ อาการก็คล้ายๆกันครํบ เกิดตะคริว ก็มาจากร่างกายเสียสมดุลระหว่างแคลเซียมกับแม็กนีเซียม
การย่อยไม่ดี กระตุก อันนี้ขาดแม็กนีเซียม มีอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับ อันนี้ก็ขาดแม็กนีเซียม มือเท้าชา อันนี้อาหารไปเลี้ยงไม่พอ ก็มาจากระบบการย่อยกับแม็กนีเซียม เอาล่ะ ในผู้สูงอายุ อย่าปล่อยให้ท่านเป็นอยู่อย่างนี้นะครับ สงสารแกครับ ผมเคยได้ยินลูกใครหลายคนพูดว่า ก็เป็นโรคคนแก่ ใครๆก็เป็นกัน อันนี้เข้าใจผิดครับ ร่างกายทรุดโทรมน่ะใช่ แต่ไม่ต้องทรมานก็ได้ ใส่สิ่งที่ร่างกายต้องการเข้าไปก็ไม่แสดงอาการแล้วครับ เอาล่ะ มานินทาหมอกันหน่อย ผมเห็นถุงยาผู้ป่วยทีไรนะครับก็ทุเรศทุกทีสิครับ พอผู้ป่วยอายุมากหน่อยก็ตะบันให้แคลเซียมกันโดยไม่มีส่วนผสมของแม็กนีเซียม มันอืดท้องน่าดูครับ แล้วคุณยายทั้งหลายก็ไม่กินกันหรอกครับแต่ท่านที่ฝืนได้ แคลเซียมจะไหลเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อมากเกินไป ก็กระตุก ตะคริวสิครับ คราวนี้ก็พาลพาไปโรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจแข็งตัว ก็หนักละ่ครับ เอาละ่สัญญากันว่าจะคุยเรื่องแคลเซียม ก็มาว่าถึงต้นเหตุที่เสียแคลเซียมครับ ดังนี้ 1 กาแฟ ร่างกายสูญเสียแคลเซียมและแม็กนีเซียมในการขับคาเฟอีน 2 เหล้า ร่างกายสูญเสียแคลเซียมและแม็กนีเซียมในการขับแอลกอฮอล์ 3 เนื้อ นม ไข่ โปรตีนถูกเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียซึ่งมันจะไปยับยั้งการดูดกลับแคลเซียมที่ไต 4 เค็ม ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะ 5 หวาน ทำให้เลือดเป็นกรด ร่างกายใช้แคลเซียมปรับสภาพความเป็นกรด 6 น้ำอัดลม ไอ้นี่สองเด้งเลย มันมีทั้งหวานและฟอสฟอรัส ร่างกายต้องใช้แคลเซียมปรับฟอสฟอรัส 7 ยาลดกรดในกระเพาะ ไอ้นี่ผมไปบำบัดใครหมอก้อให้ใว้ทุกบ้านเลยครับ มันทำให้กระเพาะเป็นกลางครับแต่มันลดการดูดซึมแคลเซียม 8 ไม่ออกกำลังกาย การที่กล้ามเนื้อดึงรั้งต่อกระดูก ๆ จะถูกกระตุ้นให้รักษาแคลเซียมไว่ครับ 9 ไม่โดนแดด การโดนแดดผิวจะสร้าง วิตามินดี แล้วเจ้าตัวนี้ก็นำแคลเซียมเข้ากระดูกครับ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เราๆท่านๆที่เรียนสายวิทย์มา เรียนมาแล้วทั้งนั้นแหละครับ แต่เรามักจะฝากสุขภาพไว้ที่หมอกัน เชื่อเถอะหมอก็ลืม นึกแต่เพียงว่าใช้ยาอะไร รักษาอะไร ผู้ป่วยเลยล้นโรงพยาบาล แล้ก็เกิดระบบเส้นสาย ลัดคิว จิปาถะ ของเอกชนยิ่งไปกันใหญ่ ไอจามทีหนึ่งก็สามสีพัน คสช.แก้ไม่ไหวหรอกครับ ผมเลยขอฝากให้เพื่อนๆ ดูแลตัวเองครับ ข้อมูลนี้อาจเป็นประโยชน์อยู่บ้างถึงแม้ไม่มากนัก แต่มำเถอะครับผมรักทุกคนครับ สวัสดีครับ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
![]() รายการ หมอนอกะลา
ตอน “สิ่งที่หมอของคุณไม่รู้ อาจฆ่าคุณ”
โดย Robert Thompson, M.D. ผู้เขียนหนังสือ The Calcium Lie
ก่อนอื่น!!!! ผมไม่มีเจตนาใด ๆ ที่จะทำลายหรือทำร้ายใคร ผมเพียงแต่ นำเสนอความรู้ใหม่ ๆ ที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ เท่านั้นจริง ๆ
แคลเซียมเดี่ยว ๆ มากเกินไป...อาจก่อการพร่องแร่ธาตุตัวอื่นซึ่งก่อให้โรคได้
Robert Thompson, M.D. เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ชื่อ The Calcium Lie ซึ่งอธิบายว่า..กระดูกประกอบด้วยอย่างน้อยแร่ธาตุนับโหลและการมุ่งเน้นแต่เพียงในการเสริมแต่แคลเซียมเพียงอย่างเดียวมีแนวโน้มที่จะลดความหนาแน่นของกระดูกลงและเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน Dr. Thompson เชื่อว่าการบริโภคแคลเซียมเพียงอย่างเดียวมากเกินไปจะก่อให้เกิดการขาดแร่ธาตุอื่น ๆ และความไม่สมดุลซึ่งจะไปเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคนิ่วในไต โรคนิ่ว โรคข้อเข่าเสื่อม ไทรอยด์ต่ำแฝง โรคอ้วนเบาหวานชนิดที่ 2 และปวดหัวไมเกรน
ถ้าอาหารเสริมแคลเซียมของคุณกลายเป็น "ก้อนหินเล็ก ๆ น้อย ๆ " ซึ่งถูกฝากไว้ในเนื้อเยื่ออ่อนและหลอดเลือดของคุณ คุณก็เริ่มที่จะเข้าใจได้ว่าวิธีการนี้อาจจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองตีบ/แตก หรือภาวะด้านสุขภาพอื่น ๆ
หลายคนเชื่อว่าคราบพลั๊คในหลอดเลือดเกิดจากการสะสมของคอเลสเตอรอล แต่ในความเป็นจริงมากกว่ากว่าร้อยละ 90 ของคราบไขมันเหล่าคือ เกลือแคลเซียม
คอเลสเตอรอลเองนั้น นุ่มและเหนียวและไม่ทำให้เสียความยืดหยุ่นของหลอดเลือดแดง แต่การฝากแคลเซียมเป็นเหมือนคอนกรีต มันจึงทำให้หลอดเลือดแดงของคุณ"แข็ง" และ สูญเสียความสามารถในการขยายตัว มันจึงเป็นแคลเซียม - ไม่ใช่คอเลสเตอรอล – ที่ทำให้หลอดเลือดแข็งและทำให้คราบพลั๊คมีเสถียรภาพน้อยและมีแนวโน้มที่จะบิ่นออกและต่อมาการกระตุ้นให้เกิดการอุดตันที่คุกคามต่อชีวิตของคุณ
สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเนื่องจากสมดุลของฮอร์โมนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการส่งสัญญาณแคลเซียมที่เหมาะสม – มันเป็นตัวกำกับร่างกายของคุณในการฝากแคลเซียมเข้าไปในกระดูกของคุณ เมื่อฮอร์โมนลดลงไปจากสมดุล การส่งสัญญาณนี้จะทำให้แคลเซียมออกจากกระดูกอย่างช้า ๆ และไปสะสมอยู่ในหลอดเลือดแดงของคุณแทน เพียงแค่การเสริมแคลเซียมเดี่ยว ๆ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะถ้าร่างกายของคุณไม่สามารถนำแคลเซียมเข้าไปในจุดที่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดอันตรายมากกว่าประโยชน์
ทำไมวิตามิน K2 จึงเป็นสิ่งจำเป็นถ้าคุณงี่เง่าใช้วิตามิน D ร่วมกับแคลเซียม ...
วิตามิน K2 ทำงานร่วมกับวิตามินดี; ในขณะที่วิตามินดีช่วยพัฒนากระดูกให้ดีขึ้นโดยช่วยให้คุณดูดซึมแคลเซียม มีหลักฐานใหม่อ้างว่าวิตามิน K2 นำแคลเซียมตรงเข้าไปในกระดูกของคุณในขณะที่การป้องกันไม่ให้ถูกนำไปฝากไว้ที่ที่คุณไม่ต้องการให้มันฝาก –อาทิอวัยวะต่าง ๆ ข้อต่อและหลอดเลือด ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าส่วนใหญ่ของคราบพลั๊คหลอดเลือดแดงเกิดจากการฝากแคลเซียมดังนั้นจึงก่อ "การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง"
วิตามิน K2 ยังพบว่าช่วยสลาย เนื้อเยื่อบางอย่างทางพยาธิวิทยา (หรือที่เรียกว่าหินปูนมดลูก)
วิตามิน K2 จะไปกระตุ้นฮอร์โมนโปรตีนที่เรียกว่า osteocalcin ซึ่งผลิตโดยเซลล์สร้างกระดูกซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการผูกแคลเซียมเข้าไปในแหล่งกำเนิดรากฐานของกระดูกของคุณ Osteocalcin ก็ดูเหมือนว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมถูกนำไปฝากไว้ในหลอดเลือดแดงของคุณเช่นกัน ในอีกแง่หนึ่ง ถ้าปราศจากความช่วยเหลือจากวิตามิน K2 เสียแล้ว แคลเซียมร่วมกับวิตามินดีที่คุณกินเข้าไปอาจจะทำงานต่อต้านคุณ - โดยการทำให้หลอดเลือดแดงของหัวใจแข็งแทนที่จะซ่อมกระดูกของคุณ นี่คือเหตุผลที่ถ้าคุณใช้แคลเซียมและวิตามินดี แต่ขาดวิตามินเค ร่างกายคุณอาจจะแย่ลงกว่า การไม่ได้กินสารอาหารเสริมเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำไป
อาหารเป็นแหล่งที่มาของแคลเซียมที่ดีที่สุด
เพื่อให้แคลเซียมดีต่อร่างกายของคุณมันก็จะต้องอยู่ในรูปแบบที่สกัดจากธรรมชาติและสมดุลด้วยแม็กนีเซียม วิตามิน D และ K และแร่ธาตุที่สำคัญอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนโภชนาการรวม
นอกจากนี้คุณยังต้องการซิลิกาซึ่งนักวิจัยบางคนบอกว่าเป็นวิธีการทางเอนไซม์ที่จะ "แปลง" โดยร่างกายของคุณให้เป็นชนิดของแคลเซียมซึ่งกระดูกของคุณสามารถใช้งานได้ ทฤษฎีนี้นำเสนอเป็นครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Louis Kevran ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลที่ใช้เวลาหลายปีศึกษาวิธีการที่ ซิลิกา แคลเซียมแมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ ว่าเกี่ยวข้องและสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงพลังงานนิวเคลียร์ระดับต่ำซึ่งพบได้เฉพาะในระบบของร่างกาย
ทฤษฎีของเขาอธิบายถึงวิธีการที่ วัวและไก่ผลิตแคลเซียมมากขึ้นในนมและไข่ของพวกมันมากกว่าที่พบในอาหารของพวกมัน หรือทำไมคนงานที่สัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงมาก (130 องศาฟาเรนไฮต์) ในตะวันออกกลางต้องบริโภคเกลือเม็ดซึ่งร่างกายของพวกเขา แปลงไปเป็นโพแทสเซียม ซึ่งส่งผลในการลดอุณหภูมิในร่างกายของพวกเขา
แหล่งที่ดีของซิลิกาในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกคือ แตงกวา, พริกหวาน, มะเขือเทศ
ดร. ธอมป์สันแนะนำให้ใช้เกลือธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดขาวในฐานะเป็นทางเลือกที่ดีในเสริมแคลเซียมเพราะมีแร่ธาตุที่คุณไม่สามารถได้รับจากอาหารที่กินกันอยู่ในทุกวันนี้ แหล่งของแร่ธาตุบริสุทธิ์อย่างเกลือที่เก็บจากนาเกลือจะมี 84 องค์ประกอบที่จำเป็นต่อร่างกายของคุณ
ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มระดับวิตามินดีของคุณผ่านการสัมผัสกับแสงแดดและกินอาหารจำพวกผักให้หลากหลายรวมทั้งถั่ว เมล็ดพืช เนื้อและไข่ เกลือที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ ซึ่งจะได้แคลเซียมที่ร่างกายต้องการพร้อมด้วยแร่ธาตุและปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่จะทำให้การดูดซึมดีเยี่ยมและนำมาใช้อย่างถูกต้องโดยร่างกายของคุณเอง
สวัสดี
ขอบคุณ Robert Thompson, M.D. ผู้เขียนหนังสือ The Calcium Lie
ขอบคุณ ภรรยาที่ไม่เล่นเฟสบุ๊ค
และภาพสวย ๆ จาก Google
Too Much Calcium
May Create Mineral Deficiencies that Promote Disease
Robert Thompson, M.D. wrote a book on this subject called The Calcium Lie, which explains that bone is comprised of at least a dozen minerals, and the exclusive focus on calcium supplementation is likely to worsen bone density and actually increase your risk for osteoporosis. Dr. Thompson believes overconsumption of calcium only creates other mineral deficiencies and imbalances that will increase your risk of heart disease, kidney stones, gallstones, osteoarthritis, hypothyroidism, obesity type 2 diabetes and migraine.
If your calcium supplement is being turned into "little rocks" that are being deposited in your soft tissues and arteries, you can begin to understand how this could be increasing your risk for a heart attack, stroke or other health condition.
Many believe that arterial plaque is simply a buildup of cholesterol. But in reality, more than 90 percent of these
fatty plaques are calcified. Cholesterol is soft and waxy and does not impair the elasticity of your arteries. But calcium deposits are like concrete, "hardening" your arteries and impairing their ability to expand. It is calcium -- not cholesterol -- that induces arterial stiffness and makes the plaque less stable and more prone to chipping off and subsequently inducing a life-threatening clot.
This is particularly important for postmenopausal women because hormone balance is necessary for proper calcium signaling -- directing your body to deposit calcium into your bones. When hormones fall out of balance, this signaling causes calcium to slowly exit your bones and become deposited in your arteries instead. Simply taking a calcium supplement will not solve the problem because if your body cannot direct the calcium to the right spot, it will cause far more harm than good.
Why Vitamin K2 is Crucial if You Take Vitamin D and Calcium …
Vitamin K2 engages in a delicate dance with vitamin D; whereas vitamin D provides improved bone development
by helping you absorb calcium, there is new evidence that vitamin K2 directs the calcium to your skeleton, while preventing it from being deposited where you don't want it -- i.e., your organs, joint spaces, and arteries. As mentioned, a large part of arterial plaque consists of calcium deposits (atherosclerosis), hence the term "hardening of the arteries."
Vitamin K2 has also actually been found to decalcify certain tissues undergoing pathological (also known as ectopic) calcification.
Vitamin K2 activates a protein hormone called osteocalcin, produced by osteoblasts, which is needed to bind calcium into the matrix of your bone. Osteocalcin also appears to help prevent calcium from depositing into your arteries. In other words, without the help of vitamin K2, the calcium that your vitamin D so effectively lets in might be working AGAINST you -- by building up your coronary arteries rather than your bones. This is why if you take calcium and vitamin D but are deficient in vitamin K, you could be worse off than if you were not taking those supplements at all.
Food is the Best Source of Calcium
In order for calcium to do your body good, it must be in a bioavailable form and balanced out with magnesium vitamins D and K and other important trace minerals, as part of a total nutritional plan.
You also need sources of silica which some researchers say is actually enzymatically "transmuted" by your body into the kind of calcium your bones can use. This theory was first put forth by French scientist Louis Kevran, a Nobel Prize nominee who spent years studying how silica, calcium, magnesium, and other minerals are related and transmutable into one another through low-energy nuclear transformation only found within living systems.
His theory explains how cows and chickens produce far more calcium in their milk and eggs than is found in their diet, or why, workers exposed to extremely high temperatures (130 degrees F) in the Middle East are known to consume salt tablets, which their bodies convert to potassium (as measured by their excreta), resulting in a reduction in their bodily temperature.
Good sources of bone-strengthening silica are cucumbers, bell peppers, tomatoes, and a number of herbs including
horsetail, nettles, oat straw, alfalfa, and raw cacao, which is also extremely rich in highly bioavailable magnesium.
Dr. Thompson recommends the use of natural unprocessed salt as a far better alternative to calcium supplements because it provides the trace minerals you simply cannot get from food grown in today's mineral-depleted soils. My favorite source of trace minerals is pure, unprocessed , which contains 84 elements needed by your body.
The bottom line is, optimize your vitamin D levels through sun exposure and consume a variety of fresh, local organic whole foods, including vegetables, fruits, nuts, seeds, organic meats and eggs, unprocessed salt, which will give you the bioavailable calcium your body needs along with the trace minerals and other cofactors it needs to be absorbed and properly utilized by your body.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
![]() รายการ หมอนอกกะลา
ตอน....กระดูกงอกหรือแคลเซี่ยมเกาะ
มาว่ากันแบบเข้าใจง่าย ๆ และนึกภาพออกกันดีกว่านะ แบบวิชาการมันน่าเบื่อ จำก็ยากแต่สิ่งที่ต้องระลึกอยู่ตลอดเวลา คือ..
!! ร่างกายมีระบบการฝากและถอนแคลเซียมของกระดูกตลอดเวลา !!
ถอนเมื่อใด: เมื่อต้องใช้แคลเซียมปรับสภาพความเป็นกรดของร่างกาย นั่นหมายถึงทุกครั้งที่ร่างกายกินอาหารแล้วทำให้ร่างกายเป็นกรด แคลเซียมจะถูกถอนมาใช้ทันที แล้วกินอะไรจึงทำให้ร่างกายเป็นกรด ก็อ่านในโพสต์นี้
ฝากเมื่อใด: ตลอดเวลาและเมื่อร่างกายรับรู้ว่ามีกระดูกส่วนใดส่วนหนึ่งชำรุดเสียหาย หรือมวลกระดูกบาง ก็จะใช้แคลเซียมจากการกินเข้าไปนี่แหละ เอาไปซ่อมแซม นั่นคือที่มาของคำว่า อายุขนาดนี้ต้องได้รับแคลเซียมในปริมาณเท่าใดต่อวัน อ่านได้ในโพสต์นี้
เอาล่ะมาว่ากันที่ “กระดูกงอกหรือแคลเซี่ยมเกาะ”
กระดูกงอก คือภาวะที่ร่างกายขาดแคลเซียมอย่างรุนแรง จนกระดูกบางและบางตำแหน่งของกระดูกสึกกร่อน จนร่างกายรับรู้ว่าต้องซ่อมแซม จึงนำแคลเซียมจากแหล่งต่าง ๆ ที่พอจะถอนมาได้ มาฝากไว้ในตำแหน่งนั้น
!!!! แล้วทำไมต้องปูดออกมาจนเห็นได้ชัด!!!!
ให้นึกภาพของการเชื่อมเหล็กครับ เมื่อโครงสร้างหลักของความแข็งแรงของที่ใดก็ตามสึก การเติมเนื้อเหล็กอาจเป็นการดามหรือพอกให้หนากว่าเดิม จึงจะทนทานเท่าเดิม ร่างกายมนุษย์ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
ผมมีผู้ป่วยกระดูกงอกหลายรายที่ต้องไปผ่า ไปเจียร ไปตัด ส่วนที่งอกออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตรงตำแหน่งเดิม เพราะไม่เข้าใจหลักการทำงานนี้
ในภาวะเช่นนี้ ต้องใส่แคลเซียมกลับเข้าไปในร่างกายถึง 2000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่น่าเสียดาย แคลเซียมคาบอเนตที่ใช้ ๆ กันอยู่ พบว่าสามารถดูดซึมได้แค่ร้อยละ 10 ของปริมาณที่กินเสริมเข้าไป :อ้างอิงจาก หนังสือ Water for life ของ ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามินและยังก่อปัญหาต่อสุขภาพอีกมากมาย อ่านในโพสต์นี้
โปรดอย่าลืม!!! ในทุก ๆ วัน เรา ๆ ท่าน ๆ จะเสียแคลเซียมทางปัสสาวะถึง 100 มิลลิกรัมและ อุจจาระถึง 150 มิลลิกรัม แม้ไม่ได้เอาอาหารที่ทำให้ร่างกายเป็นกรดเข้าไปเลย และเมื่อไม่ใส่กลับให้สมดุล ผู้สูงอายุจึงได้มีคำว่า
” โรคคนแก่” กันเต็มบ้านเต็มเมือง ราวกับว่า จะอย่างไรมันก็จะเกิดขึ้นกับทุกคน แต่นี่คือ ความเชื่อที่ผิด จากความไม่เข้าใจสมดุลของร่างกาย
และตัวแสบที่สุดที่ร่างกายต้องถอนแคลเซียมออกมาใช้เป็นอย่างมากเมื่อกินเข้าไปคือ สเตียรอยด์ หรือที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในชื่อ เพร็ดนิโซโลน
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
![]() รายการ หมอนอกกะลา
ตอน...ความฉ้อฉลเกี่ยวกับแร่ธาตุ
มันเป็นการโกหกที่ยิ่งใหญ่ซึ่งนำพาผู้คนและบุคลากรทางการแพทย์ไปสู่หายนะแห่งสุขภาพ...
มันเริ่มต้นด้วยคำว่า “แคลเซียมจำเป็นมากสำหรับกระดูกที่แข็งแรง”
แพทย์เกือบจะทุกคนและผู้คนส่วนใหญ่ถูกฝังรากลึกจากความฉ้อฉลนี้ เราทุกคนเลยต้องดำดิ่งไปกับความเชื่อที่ว่า..ถ้าเราขาดแคลเซียมกระดูกของเราจะกลายเป็นผุยผง.. นี่เป็นการหลอกลวงและไม่เคยเป็นความจริง
ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยทั่วโลกได้บอกเราถึงความผิดพลาดของระบบความเชื่อ !!
แต่ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้ผมอยากให้คุณรับรู้ว่า แคลเซียมเป็นเพียงแค่ 1ใน12แร่ธาตุที่ทำให้กระดูกแข็งแรง เมื่อใครสักคนได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดกพรุน ( Osteoporosis) นั่นหมายถึงการสูญเสียแร่ธาตุของกระดูก ไม่ใช่เพียงแค่ขาดแคลเซียมและถ้าคุณได้รับการแนะนำให้เสริมเพียงแค่แคลเซียมเพื่อบำรุงกระดูกจนเกินขนาดไม่ว่าจะได้มาในรูปแบบของ..นม..ตามคำแนะนำแพทย์หรือในรูปแบบอาหารเสริม..นั่นหมายถึงคุณกำลังได้รับสัญญาณแห่ง”ความตาย” เหตุเพราะแคลเซียมทำให้”คอนกรีตแข็งตัว”....แม่จ้าว...แล้วมันจะทำให้ส่วนใดของร่างกายแข็งตัวได้บ้างล่ะเนี่ย และถ้ามันเกินขนาดจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเราล่ะ..ตามมา!!
-นิ่วกรวยไต
-นิ่วถุงน้ำดี
-พลั๊คในหลอดเลือด
-หินปูนเกาะกระดูก
-การฝากของแคลเซียมในเนื้อเยื่อ
-เซลล์สมองผิดปกติ
-เนื้อสมองหดตัว
-สมองเสื่อม
........................................................
อะไรนำไปสู่สิ่งโกหกที่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเพราะมัน
..........................................................
ความรู้ที่ผิดพลาดซึ่งกลายเป็นดั่งความเชื่อทางศาสนาที่ถูกฝังรากลึกจากทุกวงการ..และต่อไปนี้คือความจริงที่ได้เพิ่มรายละเอียดให้มากขึ้น..
-แคลเซียมกับการทำงานของต่อมหมวกไต
แคลเซียมที่มากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไตในวัตถุประสงค์เพื่อให้ไตกักเก็บแมกนีเซียมเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย ผลของการทำเช่นนี้ก็คือ โซเดียมและโพแทสเซียมจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นจำนวนมากซึ่งส่งผลต่อแร่ธาตุสองชนิดนี้ในเซลล์เป็นอย่างมาก
!! ในความเป็นจริง :
-โซเดียมมีความจำเป็นในการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร การย่อยโปรตีน การขนส่งน้ำตาลกลูโคสและกรดอะมิโนเข้าสู่เซลล์และเนื้อเยื่อ(ยกเว้น เซลล์ไขมัน)
-โพแทสเซียมจำเป็นสำหรับการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์และช่วยรักษาไว้ซึ่งประจุของผนังเซลล์
แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดอัตราการเต้นของหัวใจ มันเป็นตัวกำหนดให้กล้ามเนื้อและใยประสาทสื่อสารกันเมื่อพวกเขาต้องการแร่ธาตุสองตัวนี้ นอกจากนี้ทั้งสองยังช่วยรักษาความคงที่ของความดันโลหิตอีกด้วย ความไม่สมดุลหรือการขาดแร่ธาตุเหล่านี้นำไปสู่ความผิดพลาดเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าที่เซลล์ของหัวใจ
!! ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าเมื่อร่างกายขาดโซเดียมและโพแทสเซียมแล้วจะเกิดอะไรตามมา...กรดอะมิโนถูกจำกัดและเมื่อเซลล์ขาดกรดอะมิโน ร่างกายก็ไม่สามารถเจริญเติบโตและซ่อมแซมตัวเองได้และเมื่อเซลล์ขาดกลูโคส เซลล์ก็ขาดซึ่งพลังงาน ความอ่อนล้าหมดแรงของร่างกายโดยรวมก็ตามมา
!! ในความเป็นจริง ร่างกายจำเป็นต้องได้รับการบริจาคประจุลบจากแร่ธาตุในทุกปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นในเซลล์ ดังนั้นการขาดซึ่งแร่ธาตุจึงสามารถนำไปสู่หลายอาการของร่างกายได้
............................................................................................
เมื่อคุณอ่านจบ...คุณคิดถึงใคร !!
…………………………………………………
ในขณะที่แทบทุกจะโรงเรียนได้มอบ..นม..ที่บอกว่าเพิ่มแคลเซียมให้แก่เด็กเพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้สูงใหญ่โดยไม่ได้คำนึงถึงสมดุลของแร่ธาตุ นั่นหมายถึงกำลังทำให้สมองเด็กฝ่อลงหรือไม่..สอนยากสอนเย็น ขาดสมาธิและนำไปสู่โรคอื่นในอนาคตหรือไม่ !!
นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเมื่อเขียนบทความจบ
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
ขอบคุณ Dr.Robert Thompson,MD. และ Kathleen Barnes.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
![]() BELIEVE THE TRUTH
ตอน วิตามิน K: สารอาหารที่ขาดหายไปซึ่งเกี่ยวข้องกับการโจมตีของโรคหัวใจและโรคกระดูกพรุน
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการวิจัยได้เผยให้เห็นบทบาทที่เป็นประโยชน์อย่างมากมายของวิตามินDในการรักษาสุขภาพของคุณแต่มี”เด็กใหม่ไฟแรง”ที่อาจแซงโค้ง "วิตามิน D" และพบว่าบางส่วนของผลประโยชน์จากวิตามินD จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อรวมกับวิตามินอื่น ๆ
"เด็กใหม่" ที่ว่าคือ..วิตามิน K
การวิจัยใหม่ ๆ กำลังมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกันระหว่างวิตามิน K (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน K2) และวิตามิน D3 ในด้านความแข็งแรงของกระดูกและสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด แต่ก่อนที่จะอธิบายเกี่ยวกับอิทธิพลของวิตามินแต่ละชนิดเหล่านี้ ลองทบทวนกันเล็กน้อยเกี่ยวกับวิตามิน D และ K และบทบาทของพวกเขา..
วิตามิน D : โดยสรุป
วิตามิน D เป็นส่วนประกอบสำคัญในสุขภาพโดยรวมของคุณ อันที่จริงชื่อนี้ทำให้เข้าใจผิด – มันไม่ได้เป็นวิตามิน แต่เป็น neuroregulatory steroidal hormone ที่มีประสิทธิภาพซึ่งมีอิทธิพลต่อยีนถึง 3,000 ใน 25,000 ตัวของคุณ (1)
โดยแท้จริงมันจะเปิดและปิดยีนที่สามารถทำให้โรครุนแรงขึ้น - หรือป้องกันไม่ให้เกิด – ได้หลายโรค วิตามินดีได้รับการแสดงให้เห็นว่ามีอิทธิพลต่อหลายเงื่อนไขได้แก่ :
มะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ออทิสติก โรคอ้วน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรค Crohn โรคเบาหวานชินดที่1 และ 2 โรคปลายประสาทอักเสบ หวัดและไข้หวัดใหญ่ โรคลำไส้อักเสบ
วัณโรค ภาวะซึมเศร้า กลาก สะเก็ดเงิน นอนไม่หลับ การสูญเสียการได้ยิน อาการเหงือกอักเสบ ภาวะกระดูกพรุน ภาวะชัก โรคหอบหืด ไมเกรน โรคอัลไซเมอร์ โรคจิตเภท
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อธิบายถึงอัตราที่สูงของโรคเรื้อรังในปัจจุบันนอกเหนือจากอาหารที่ไม่ดีและการดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว การขาดวิตามิน D คาดว่าน่าจะเป็นร้อยละ 40 ของผู้ป่วยทั้งหลายมีระดับวิตามิน D ไม่เพียงพอ
แต่ก็มีเรื่องน่าเศร้าเมื่อ Institute of Medicine's (IOM) Food and Nutrition Board (FNB) ได้เผยแพร่คำแนะนำที่ปรับปรุงใหม่สำหรับวิตามิน D (2) (และแคลเซียม) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2010 มันทำให้เกิดความตระหนกตกใจต่อผู้ที่รักและดำเดินชีวิตในแบบสุขภาพตามธรรมชาติ
ตามที่ระบุโดย IOM : คำแนะนำใหม่ (RDA) (3) สำหรับสตรีมีครรภ์และผู้ใหญ่อายุไม่เกิน 70 ปีมีค่าเท่ากับเด็กทารกและเด็กเล็กคือ 600 IU และแม้ว่าจะมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าวิตามิน D เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสุขภาพที่หลากหลายนอกเหนือจากสุขภาพของกระดูกแต่ในความเป็นจริงผู้คนส่วนใหญ่ต้องการมากกว่าค่าที่ระบุไว้ถึง 10 เท่าหรือมากกว่า
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดอ่านบทความเกี่ยวกับคำแนะนำใหม่ ๆ ของวิตามินดีของ IOM รวมถึงข้อกังวลที่ Dr. Cannell พบจาก Vitamin D และ Carole Baggerly ผู้ก่อตั้ง GrassrootsHealth ได้ในอ้างอิง (4)
…………………………………………………………………
วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มระดับวิตามิน D ในความคิดของผม:
สัมผัสกับแสงแดดตามธรรมชาติ วิตามินดีจากแสงแดดทำหน้าที่เป็นโปรฮอร์โมนช่วยให้ผิวของคุณเปลี่ยนไปเป็น 25-hydroxyvitamin D หรือวิตามิน D3 ได้อย่างรวดเร็ว
..รับประทานวิตามิน D3 เสริมเมื่อใดก็ตามที่แสงแดดไม่เอื้ออำนวยอย่างผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียเป็นต้น
ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับวิตามิน K
วิตามิน K มีความสำคัญสำหรับคุณเช่นเดียวกับวิตามิน D เนื่องจากการวิจัยยังคงแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อสุขภาพของคุณ วิตามิน K อาจเป็นสิ่งที่วิตามินดีเคยเป็นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อคำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่มีประโยชน์แบบมากกว่าที่คิดไว้
ตามที่ดร. Cees Vermeer ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิจัยชั้นนำของโลกได้เข้าสู่การวิจัยเกี่ยวกับวิตามิน K และกล่าวว่า”เกือบทุกคนขาดแคลนสารอาหารนี้เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ที่ขาดวิตามิน D”
ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับวิตามิน K จากอาหารของพวกเขามากพอสำหรับการรักษาสภาพในการแข็งตัวของเลือดแต่ไม่เพียงพอที่จะป้องกันปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ – และรายการยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายังคงขาดอย่างต่อเนื่อง :
-เส้นเลือดแข็งจากการเกาะของแคลเซียม
-โรคหัวใจและหลอดเลือด
-หลอดเลือดดำโป่ง
-ปัญหาสุขภาพสมองรวมทั้งภาวะสมองเสื่อม
-โรคฟันผุ
-มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งตับและมะเร็งเม็ดเลือดขาว
-โรคติดเชื้อเช่นโรคปอดบวม
วิตามิน K มีอยู่ใน 2 รูปแบบพื้นฐานคือ K1 และ K2
วิตามิน K1: พบในผักสีเขียว
K1 มุ่งตรงไปที่ตับและช่วยรักษาระบบการแข็งตัวของเลือด (นี่เป็นชนิดของ K ที่ทารกจำเป็นต้องใช้เพื่อช่วยป้องกันความผิดปกติของการมีเลือดออกอย่างรุนแรง)
K2: แบคทีเรียผลิตวิตามิน K ชนิดนี้ซึ่งมีปริมาณมากในลำไส้ของคุณซึ่งมีได้เฉพาะในผู้ที่มีอุจจาระเป็นสีเหลือง เป็นลำและลอย แต่น่าเสียดายที่ถูกดูดซึมจากที่นั่นได้น้อยมากและถูกส่งผ่านไปยังอุจจาระของคุณ K2 มุ่งตรงไปยังผนังหลอดเลือด กระดูกและเนื้อเยื่ออื่นที่ไม่ใช่ตับของคุณ
อันที่จริงเรื่องราวของวิตามิน K2 เป็นเรื่องราวที่ยาวมากและมีหลายรูปแบบของวิตามิน K2: MK4, MK7, MK8 และ MK9 รูปแบบของวิตามิน K ที่มีความสำคัญมากที่สุดสำหรับจุดประสงค์ของเราคือ MK7 ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่และแสดงผลได้ยาวนานกว่าในการใช้งาน
อาหารเสริมวิตามิน K2 ส่วนใหญ่อยู่ในรูป MK7
MK7 สกัดจากผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองหมักของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า นัตโตะ (natto) คุณอาจได้รับ MK7 จากการบริโภค natto เนื่องจากมีราคาไม่แพงนักและสามารถหาได้ในตลาด แต่อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถทนต่อกลิ่นและเนื้อสัมผัสที่ลื่นไหลของมันได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถได้รับ MK7 โดยการกินชีสหมัก-ที่บ้านผมนิยมรับประทาน Blue Cheese
เนื้อวัวหรือเนื้อสัตว์กินหญ้าอื่น ๆ อุดมไปด้วยวิตามิน K2 เนื่องจากในหญ้ามี K1 และเมื่อสัตว์กินหญ้าพวกเขาจะเปลี่ยน K1 ไปเป็น K2 –ที่บ้านผมจะมีเมนูเนื้อสัตว์กินหญ้าสัปดาห์ละ 3 มื้อเป็นอย่างน้อย
วิตามิน D และวิตามิน K ทำงานร่วมกันอย่างไร
วิตามิน D และ K: 'ยามเฝ้าประตูและตำรวจจราจร'
หนึ่งในผลประโยชน์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของวิตามินD คือการพัฒนากระดูกโดยการช่วยให้คุณดูดซับแคลเซียมที่ผนังลำไส้... นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ – เรารู้จักวิตามิน D และการดูดซึมแคลเซียมมาเป็นเวลาหลายสิบปี
แต่มีหลักฐานใหม่ว่าเป็นวิตามิน K (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน K2) ที่นำแคลเซียมไปสู่กระดูกของคุณโดยไม่ไปฝากไว้ในที่ ๆ ไม่ควรและป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมที่คุณไม่ต้องการเช่นในอวัยวะ ช่องว่างของข้อและหลอดเลือดแดง ส่วนใหญ่ของพลั๊คในหลอดเลือดประกอบด้วยตะกอนแคลเซียม (atherosclerosis) จึงได้เกิดคำว่า "การแข็งตัวของเส้นเลือด"
วิตามิน K2 จะไปกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนโปรตีนที่เรียกว่า osteocalcin ซึ่งผลิตโดย osteoblasts ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผูกแคลเซียมเข้ากับเมทริกซ์กระดูกของคุณ นอกจากนี้ Osteocalcin ยังช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมสะสมในหลอดเลือดแดงของคุณ
!!... คุณสามารถคิดถึงวิตามิน D ในฐานะที่เป็นยามเฝ้าประตู-คอยควบคุมผู้ที่ผ่านเข้ามาบริเวณผนังลำไส้และวิตามิน K ในฐานะตำรวจจราจร-คอยกำกับเส้นทางให้ไปยังสถานที่ ๆ ต้องการ..!!
จำนวนการเดินทางมากมาย - แต่ไม่มีตำรวจจราจร – หมายถึงการอุดตัน อลหม่านและความสับสนวุ่นวายในทุกๆที่!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง..ปราศจากความช่วยเหลือของวิตามิน K2 แคลเซียมที่วิตามิน D ของคุณพยายามนำเข้าไปอย่างมีประสิทธิภาพกลับกลายเป็นทำร้ายคุณโดยการสร้างปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบมากกว่าการสร้างกระดูกของคุณและยิ่งไปกว่านั้น..การที่แคลเซียมจะเข้าสู่เมทริกซ์กระดูกของคุณได้ก็ยังต้องจับกับกรดอะมิโนที่คอยวิ่งเข้า วิ่งออกจากกระดูกเพื่อทำหน้าที่นี้...ดังนั้นถ้าคุณขาดโปรตีนหรือย่อยโปรตีนไม่ได้...นั่นหมายถึงกระดูกคุณจะมีสุขภาพที่ดีไม่ได้..ใช่หรือไม่..!!
มีหลักฐานว่าความปลอดภัยของวิตามินดีขึ้นอยู่กับจำนวนของวิตามิน K และความเป็นพิษของวิตามิน D (แม้ว่าจะมีน้อยมากในรูปแบบ D3) เกิดจากการขาดวิตามิน K2 (5)..ย้ำอีกครั้ง!! ถ้าคุณอาศัยอยู่ในประเทศที่มีแดดตลอดทั้งปี การเสริมแคลเซียมร่วมกับวิตามิน D ทางช่องปากอาจทำให้เกิดภาวะวิตามินดีเป็นพิษได้และผลที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือ นิ่วในไต
วิตามิน K วิตามิน D และโรคหลอดเลือดหัวใจ
เมื่อเนื้อเยื่ออ่อนของร่างกายของคุณได้รับความเสียหาย พวกเขาตอบสนองด้วยกระบวนการอักเสบที่อาจทำให้เกิดการสะสมของแคลเซียมในเนื้อเยื่อที่เสียหาย เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นในเส้นเลือดคุณ คุณก็จะมีกลไกการทำงานที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่มาจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์และสามารถนำคุณไปสู่หัวใจวายได้
วิตามิน Kและวิตามิน D ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่ม Matrix GLA Protein (หรือ MGP) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยป้องกันหลอดเลือดของคุณจากการกลายเป็นหินปูน (calcification)... ในหลอดเลือดแดงที่มีสุขภาพดี MGP จะชุมนุมอยู่รอบ ๆ เส้นใยที่ยืดหยุ่นของคุณ : tunica media (เยื่อบุหลอดเลือดแดง) เพื่อปกป้องพวกเขาจากการเกาะของแคลเซียม
MGP เป็นสิ่งสำคัญที่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดในห้องปฏิบัติการเพื่อวัดสถานะหลอดเลือดและหัวใจของคุณได้
อ้างอิงศาสตราจารย์ Cees Vermeer: (6)
“กลไกเฉพาะสำหรับหลอดเลือดแดงเพื่อป้องกันตัวเองจากการเป็นหินปูนคือผ่านวิตามิน K และโปรตีน MPG เป็นตัวยับยั้งการแข็งตัวของเนื้อเยื่ออ่อนที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน แต่ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี แข็งแรงก็ยังปรากฏให้เห็นว่ามีระดับวิตามิน K ที่ไม่เพียงพอถึงร้อยละ 30 เนื่องจากMGP ของพวกเขาถูกสังเคราะห์ขึ้นในรูปแบบที่ไม่สามารถใช้งานได้ "
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการบริโภคอาหารที่มีวิตามิน K2 เพิ่มขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างแท้จริง(7)
ในปีพ. ศ. 2547 การศึกษาของ Rotterdam ถือเป็นการศึกษาครั้งแรกที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อการมีชีวิตที่ยืนยาวของวิตามิน K2 : คนที่มีปริมาณวิตามิน K2 มากที่สุดมีความเสี่ยงต่ำกว่าร้อยละ 50 ของการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะแคลเซียมเกาะกว่าคนที่รับประทานวิตามิน K2 น้อยที่สุด
ในการศึกษาต่อเนื่องที่เรียกว่า Prospect study :16,000 คนถูกติดตามเป็นเวลา 10 ปี นักวิจัยพบว่าทุกๆ 10 ไมโครกรัมของวิตามิน K2 ในอาหารทำให้หัวใจเต้นน้อยลง 9%
การศึกษาในสัตว์ทดลองแสดงให้เห็นว่าวิตามิน K2 ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการแข็งตัวของเส้นเลือดแดงเท่านั้น แต่สามารถทำลายแคลเซียมที่เกาะในหลอดเลือดแดงโดยการกระตุ้น MGP
คนที่มีภาวะแคลเซียมเกาะอย่างรุนแรงมีเปอร์เซ็นต์ของ osteocalcin ในรูปแบบที่ใช้งานไม่ได้สูงซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดวิตามิน K2
..แคลเซียมในรูปแบบที่ไม่เหมาะสมของคุณเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจหรือไม่..
หากคุณรับประทานแคลเซียมและวิตามินดีแต่ขาดวิตามิน K ....คุณอาจจะแย่กว่าการไม่ได้รับสารอาหารเสริมเหล่านี้เลย อ้างอิงนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน (8) ถึงการเชื่อมโยงของอาหารเสริมแคลเซียมที่ไม่สมดุลกับหัวใจวาย การศึกษาในครั้งนี้พบว่าคนที่รับประทานอาหารเสริมแคลเซียมที่ไม่สมดุลมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวเสริมแคลเซียมเพียงอย่างเดียวที่ทำให้หัวใจวาย
!!..โปรดจำไว้ว่าแคลเซียมเป็นเพียงหนึ่งในผู้เล่นในสุขภาพกระดูกและหัวใจของคุณ
การวิเคราะห์นี้ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคนที่รับประทานแคลเซียมในฟอร์ม isolation โดยไม่ได้เสริมธาตุอาหารเช่นแมกนีเซียม วิตามินDและวิตามินKซึ่งช่วยรักษาร่างกายของคุณให้สมดุล ในกรณีที่ไม่มีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ แคลเซียมอาจมีผลข้างเคียงเช่นการทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบและทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย
วิตามิน D ได้รับการค้นพบว่าปกป้องหัวใจของคุณ การศึกษาในประเทศเนเธอร์แลนด์แสดงหลักฐานที่น่าสนใจว่าสถานะวิตามินดีในระดับสูงมีความสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตที่ดีขึ้นในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว หากคุณกำลังจะใช้แคลเซียม คุณจำเป็นต้องมีสมดุลของวิตามิน D และวิตามิน K เป็นอย่างน้อยที่สุด และสิ่งสำคัญคือคุณจะต้องได้รับแมกนีเซียม ซิลิกา กรดไขมันโอเมก้า 3 กรดอะมิโนและการออกกำลังกายที่มากพอซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพกระดูกของคุณ
...อะไรนำเราไปสู่โรคกระดูกพรุน...
มวลกระดูกหนาไม่ได้หมายถึงกระดูกแข็งแรง
หนึ่งในความกังวลเรื่องสุขภาพที่ดีสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนคือโรคกระดูกพรุน (osteoporosis)
วิธีการแบบคลาสสิกในการรักษาโรคกระดูกบาง osteopenia (ความหนาแน่นของกระดูกลดลง) และโรคกระดูกพรุนคือการวินิจฉัยโดยการเอ็กซเรย์ที่เรียกว่า DEXA scan ซึ่งเป็นการวัดความหนาแน่นของกระดูกหรือระดับของแร่ของกระดูกของคุณ...แต่ความแข็งแรงของกระดูกเป็นมากกว่าความหนาแน่นของกระดูกนั่นคือเหตุผลที่ยาเช่น biphosphinates ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
กระดูกของคุณประกอบด้วยแร่ธาตุในคอลลาเจนเมทริกซ์ (9) แร่ธาตุให้ความแข็งแรงและความหนาแน่นของกระดูก แต่คอลลาเจนทำให้กระดูกของคุณมีความยืดหยุ่น ปราศจากความยืดหยุ่นที่ดีก็จะกลายเป็นเปราะและแตกได้ง่าย....ดังนั้นความหนาแน่นจึงไม่ใช่ความแข็งแรง
ยาอย่าง Fosamax สร้างแร่ธาตุจำนวนมากและทำให้กระดูกดูหนาแน่นมาก แต่ในความเป็นจริงพวกเขาจะเปราะมากและมีแนวโน้มที่จะแตกหักซึ่งเป็นเหตุผลที่มีผู้ใช้ยาจำนวนมากมีการแตกของกระดูกสะโพก
Biphosphinates(กลุ่มยาที่ใช้เพื่อป้องกันและรักษาภาวะกระดูกพรุน) เป็นสารพิษที่ทำลาย osteoclasts ของคุณ ยาเหล่านี้แทรกแซงกระบวนการปกติของกระดูกของคุณ
จะเป็นการดีกว่ามากในการสร้างกระดูกโดยใช้การออกกำลังกายและการบำบัดทางโภชนาการ ฮอร์โมน progesterone ตามธรรมชาติอย่างเมล็ดฟักทอง วิตามิน D โดยการอาบแดดและวิตามิน K จากอาหารหรืออาหารเสริม
The Calcium Myth : การทบทวนทฤษฎีการสังเคราะห์แร่ธาตุในกระดูกของเรา
ประเทศที่มีการบริโภคแคลเซียมมากที่สุดมีอัตราการเป็นโรคกระดูกพรุนสูงสุดได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดาและสแกนดิเนเวีย สิ่งนี้เรียกว่า " calcium paradox "
เนื่องจากแนวทางด้านโภชนาการมีพื้นฐานตั้งอยู่บนทฤษฎีที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเกิดแร่ธาตุในกระดูก
เมื่อคุณรับประทานแคลเซียมในรูปแบบที่ไม่ถูกต้องหรือเมื่อแคลเซียมเดินทางไปยังสถานที่ๆไม่เหมาะสมก็จะกลายเป็นสิ่งบกพร่อง เช่นเมื่อคุณขาดวิตามิน K แคลเซียมจะไปสะสมในที่ๆไม่ควรจะเป็นเหมือนกับมีทรายในห้องเกียร์ แคลเซียมที่ไปฝากยังที่ต่างๆเป็นตัวการสำคัญและแม้กระทั่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดหลายเงื่อนไข ได้แก่ :
-นิ่วในถุงน้ำดี โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และโรค Crohn's
-โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ภาวะหลอดเลือดแข็ง นิ่วในไต
-โรคฟันผุและโรคเหงือก ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Cyst)
-Hypothyroidism(ไทรอยด์ต่ำ) ต้อกระจก ต้อหินและโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular degeneration)
-โรคอ้วนและโรคเบาหวาน หินปูนเกาะกระดูก ข้อต่อแข็ง โรคข้อเข่าเสื่อม โรคเอ็นอักเสบ (Tendinitis) และมะเร็งกระดูก
-โรคอัลไซเมอร์ เซลลูไลท์และแผลเป็น
-มะเร็งเต้านมและซีสต์ที่เต้านม (fibrocystic breasts)
....วิตามิน K ช่วยป้องกันคุณจากการเปลี่ยนไปเป็น "แนวปะการัง"
ปัญหาที่ซับซ้อนในการฝากของแคลเซียมคือ..นาโนแบคทีเรีย...ที่ใช้แคลเซียมที่ไม่ดีนี้เพื่อประโยชน์ของพวกเขาในการสร้างเปลือกแข็งของแคลเซียมฟอสเฟตเพื่อทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเช่นเดียวกับเปลือกหอยที่คอยเป็นโล่กำบัง
เมื่อเปลือกแข็งขึ้น สารพิษเช่นปรอท สารกำจัดศัตรูพืชและพลาสติกจะติดอยู่ในนั้นซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับคุณที่จะขจัดสารพิษเหล่านั้นออกจากร่างกายของคุณได้ พื้นที่ๆห่อหุ้มอย่างดีนี้ ยังเป็นพื้นที่ซ่อนตัวที่ดีเยี่ยมสำหรับไวรัส แบคทีเรียและเชื้อราที่ฉวยโอกาส
การได้รับแคลเซียมเกินความจำเป็นจะทำให้เกิดการขาดแร่ธาตุและความไม่สมดุลของแร่ธาตุอื่น ๆ และอารยะธรรมตะวันตกมักได้รับแคลเซียมที่มากจนเกินไปแต่ที่น่ากังวลก็คือ...อารยะธรรมนั้นถูกเลียนแบบไปทั่วโลกและไม่เว้นประเทศที่เรา ๆ ท่าน ๆ อาศัยอยู่
อ้างอิงจาก Rudolf Steiner(10) ผู้สร้าง biodynamic farming:
"แคลเซียมส่วนใหญ่คือแรงโน้มถ่วงและมีช่องหรือมีแรงผลักดันให้แรงโน้มถ่วงเพิ่มมากขึ้น การเสริมแคลเซียมที่ไม่สมดุลจะเร่งเวลาการถูกนำกลับเข้าไปในพื้นดินเพื่อรีไซเคิล"
คุณไม่ต้องการเปลี่ยนเป็นแนวปะการังหรือถูก "นำกลับมาใช้ใหม่ในพื้นโลก" ก่อนเวลาของคุณใช่หรือไม่..!!
การได้รับวิตามิน D และ K ที่เพียงพอต่อร่างกายของคุณจะทำงานร่วมกันเพื่อให้ความช่วยเหลือแคลเซียมได้ไปยังที่ๆจำเป็นในขณะที่ป้องกันไม่ให้สะสมในพื้นที่ๆไม่ควร
กระดูกของคุณประกอบด้วยแร่ธาตุอย่างน้อย 12 ชนิด แต่ถ้าคุณมุ่งเน้นไปที่แคลเซียม..คุณอาจจะทำให้กระดูกของคุณอ่อนลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้เช่นเดียวกัน Dr. Robert Thompson อธิบายไว้ในหนังสือ The Calcium Lie(11)
ร่างกายของคุณสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างถูกต้องหากแคลเซียมที่ได้มาจากพืช แหล่งที่ดี ได้แก่ ผักใบเขียว กระดูกสัตว์ แต่คุณยังต้องการแหล่งของซิลิกาและแมกนีเซียมซึ่งนักวิจัยบางคนกล่าวว่า จริงๆแล้วร่างกายของคุณสามารถใช้เอ็นไซม์เปลี่ยนซิลิก้าไปเป็นชนิดของแคลเซียมที่กระดูกของคุณสามารถใช้ได้ ทฤษฎีนี้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Louis Kevran(12) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งใช้เวลาหลายปีศึกษาว่าซิลิกาและแคลเซียมเกี่ยวข้องกันอย่างไร
แหล่งที่ดีของซิลิกาได้แก่ แตงกวา พริกไทย มะเขือเทศและสมุนไพรต่าง ๆ รวมทั้งหางม้า ตำลึง
แหล่งที่ดีที่สุดของแมกนีเซียมคือโกโก้อินทรีย์(ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีในการเพาะปลูก)
แหล่งแร่ธาตุที่สำคัญซึ่งมีความสำคัญต่อหน้าที่ของร่างกายของคุณคือเกลือคริสตัลเทือกเขาหิมาลัยซึ่งมีทั้งหมด 84 องค์ประกอบที่พบในร่างกายของคุณ
!! สิ่งที่สำคัญที่สุด !!
วิธีที่ดีที่สุดอย่างแท้จริงเพื่อให้บรรลุผลของการมีกระดูกที่แข็งแรงคือการกินอาหารที่อุดมไปด้วยความสดใหม่ ไม่ปรุงสุก เพื่อเพิ่มแร่ธาตุตามธรรมชาติให้ร่างกายของคุณและจะได้มีวัตถุดิบที่จำเป็นในการทำสิ่งที่ได้รับการออกแบบมาให้ทำ
เพิ่มประสิทธิภาพวิตามิน K ของคุณผ่านการรวมกันของแหล่งอาหาร (ผักใบเขียว นัตโตะ ชีสหมัก เนื้อวัวและเนื้อสัตว์กินหญ้าอื่น ๆ) และเสริม K2 ถ้าจำเป็น (สำหรับการให้อาหารเสริมทางช่องปาก) ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่Dr. Vermeer แนะนำไว้ดังนี้ : 185 ไมโครกรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ ..คุณต้องใช้ความระมัดระวังในปริมาณที่สูงขึ้นถ้าคุณใช้ยาหรือสารซึ่งต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือด...แต่ถ้าคุณต้องการมีสุขภาพที่ดีและไม่ใช้ยาประเภทนี้ ผมขอแนะนำที่ 150-300 mcg ต่อวัน
ให้แน่ใจว่าคุณได้ออกกำลังกายที่มีประโยชน์อย่างมากต่อระบบกระดูกและระบบหัวใจและหลอดเลือดของคุณ
บริโภคอาหารสดอินทรีย์รวมถึงผัก ผลไม้ที่ไม่เป็นโทษ ถั่ว เมล็ดพืช เนื้อสัตว์และไข่อินทรีย์ ยิ่งกินอาหารไม่ปรุงสุกมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับสารอาหารที่ดียิ่งขึ้น
ให้แน่ใจว่าคุณได้รับการนอนหลับอย่างเพียงพอในแต่ละคืน
จัดการความเครียดในชีวิตของคุณเนื่องจากมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพกายและจิตใจของคุณ
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
อ้างอิง :
1 Science 2.0 May 6 2008
2 Institute of Medicine Nov 30 2010
3 Institute of Medicine Nov 30 2010
4 GrassrootsHealth Website
5 Weston Price Foundation, Vitamin K2
6 NutraIngredients.com, August 4, 2010
7 Nutrition, October 2001;17(10):880-7
8 British Medical Journal, July 2010;341:c3691
9 Live in the Now, The New Essential Bone Health Nutrient You Might Be Missing
11 Amazon.com, The Calcium Lie
12 Amazon.com, Biological Transmutations
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
![]() รายการ หมอนอกกะลา
ตอน...ยารักษาโรคกระเพาะ ยาลดกรด กำลังทำให้คุณป่วย (Part A)
นี่คือ สาเหตุที่ทำให้สาวสวยคนหนึ่งเป็นได้ถึง 15 โรค (วิเคราะห์โรคภรรยาคร้าบบ)
เชื่อหรือไม่ !!!! กรดในกระเพาะอาหารไม่ได้มีไว้เพียงแค่จะลงโทษคุณสำหรับการรับประทานอาหารอินเดีย กรดอยู่ในกระเพาะอาหารก็เพราะมันควรจะมี มันถูกพบในสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกเผ่าพันธุ์และถ้ามันไม่ดี ร่างกายจะสร้างมาทำไม ..ว่าป่ะ
คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดกันหรอกว่ากรดในกระเพาะอาหารมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายอย่างไร ความเข้าใจผิดดังกล่าวนี้จึงถูกทำให้เป็นอมตะโดย บริษัท ยา ผู้ที่ยังคงยืนยันว่ากรดในกระเพาะอาหารไม่จำเป็น ในขณะที่ผู้คนนับล้านทั่วโลกมีการใช้ยาลดกรดซึ่งไม่เพียงแต่นำไปสู่สาเหตุของโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก แต่ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อโรคที่ร้ายแรง (หรือแม้ที่คุกคามชีวิต)
4 ผลกระทบหลักของของยาลดกรดคือ:
เพิ่มจำนวนแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไป
สกัดกั้นการดูดซึมสารอาหาร
ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อ
เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ
ตอนเริ่มเขียน ผมตั้งใจที่จะเขียนให้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งสี่ของปัญหาเหล่านี้ในบทความนี้ แต่มันคงจะยาวเกินไป ดังนั้น อ่านเรื่องเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและสกัดกั้นการดูดซึมสารอาหารไปก่อนนะครับ
กระเพาะอาหารเต็มไปด้วยเชื้อโรค
เราจะไม่ใช้เวลามากเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้เนื่องจากความสัมพันธุ์ระหว่างกรดในกระเพาะอาหารต่ำและการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปจะเน้นในตอนที่สองและตอนที่สาม
ทบทวนกันใหม่นะ : กรดในกระเพาะอาหารต่ำทำให้เกิดแบคทีเรียมากเกินไปในกระเพาะอาหารและส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ แบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดการย่อยของคาร์โบไฮเดรตผิดปรกติซึ่งจะก่อให้เกิดก๊าซ ก๊าซนี้จะเพิ่มความดันในกระเพาะอาหารทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารต่ำ (LES) จนทำงานผิดพลาด จากนั้นความผิดปรกติของ LES ยอมให้กรดจากกระเพาะอาหารย้อนเข้าสู่หลอดอาหารแล้วก่ออาการแสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อน
แบคทีเรียจำนวนมากเกินไปส่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์อื่น ๆ รวมถึงการลดการดูดซึมสารอาหาร เพิ่มการอักเสบและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร หลายงานวิจัยยืนยันยากลุ่ม proton-pump inhibitors (PPIs) Lansoprazole, Pantoprazole, Esomeprazole และ Rabeprazole สามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรแบคทีเรียในทางเดินอาหารโดยการกดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารเอาไว้ นักวิจัยในอิตาลีตรวจพบเชื้อแบคทีเรียลำไส้เล็ก (SIBO) มากเกินขนาดราว 50% ของผู้ป่วยที่ใช้ PPIs เมื่อเทียบกับเพียง 6% ของอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี ความชุกของ SIBO เพิ่มขึ้นหลังจากการรักษาด้วย PPIs ในหนึ่งปี
กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการย่อยที่ดี การสลายและดูดซึมสารอาหารเกิดขึ้นในอัตราที่เหมาะสมเฉพาะในช่วงของความเป็นกรดแคบๆ
ในกระเพาะอาหาร และถ้ามีกรดไม่พอปฏิกิริยาเคมีตามปกติที่ต้องใช้ในการดูดซึมสารอาหารจะบกพร่อง เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งนี้สามารถนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่นโรคโลหิตจาง โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคซึมเศร้า, และอื่น ๆ
ธาตุอาหารหลัก
กรดในกระเพาะอาหารมีบทบาทสำคัญในการย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน เมื่อเรากินอาหาร การหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร (HCL) ก่อให้เกิดการผลิตน้ำย่อย น้ำย่อยเป็นเอนไซม์ที่จำเป็นในการย่อยโปรตีน หากระดับ HCL ถูกกดเพื่อระดับน้ำย่อยก็ลดลง เป็นผลให้โปรตีนไม่ได้รับการย่อยเป็นกรดอะมิโนและองค์ประกอบเปปไทด์ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นซึ่งในทางกลับกันอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง ความวิตกกังวลและนอนไม่หลับ
ในขณะเดียวกันโปรตีนที่หลบหนีการย่อยโดยน้ำย่อยอาจจะจบลงในกระแสเลือด ซึ่งสิ่งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในร่างกาย แล้วร่างกายจะทำปฏิกิริยากับโปรตีนเหล่านี้ราวกับว่าพวกมันเป็นผู้รุกรานและก่อให้เกิดการตอบสนองที่หมอคุณเรียกกันว่า ภูมิแพ้และแพ้ภูมิตัวเอง
ธาตุอาหารรอง
เราสามารถที่จะกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่าง ๆ มากที่สุดเท่าที่เราอยากจะกิน อาจเต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ ....แต่ถ้ากินเข้าไปแล้ว เราไม่สามารถดูดซับสารอาหารที่เรากินได้ล่ะ เราจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เรากินเหรอ
เมื่อความเป็นกรดลดลงและค่า pH ของการของกระเพาะเพิ่มขึ้น การดูดซึมสารอาหารจะบกพร่องทันที งานวิจัยนับทศวรรษได้ยืนยันว่า กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำ - ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเองหรือเป็นผลมาจากการใช้ยาลดกรด - ลดการดูดซึมของสารอาหารที่สำคัญหลายอย่างเช่นเหล็ก, วิตามินบี 12, โฟเลต แคลเซียมและสังกะสี
เหล็ก
การขาดธาตุเหล็กทำให้เกิดโรคโลหิตจางเรื้อรังซึ่งหมายถึงเนื้อเยื่อของร่างกายขาดและต้องการอ็อกซิเจนเป็นอย่างมาก
งานวิจัยหนึ่งกล่าวว่า ใน 35 จาก 40 คน (ร้อยละ 80) ที่มีโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเรื้อรังพบว่ามีการหลั่งกรดต่ำกว่าปรกติ โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเป็นที่รู้จักกันดีว่า เกิดจากการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อของกระเพาะอาหารส่วนที่มีการผลิตกรดออกไป
นักวิจัยพบว่าการยับยั้งการหลั่งกรดโดยใช้ Tagamet ยาที่นิยมใช้ลดกรด ส่งผลในการลดธาตุเหล็กอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกันการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มกรดจะเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในผู้ป่วยที่มีอาการไม่มีกรดในกระเพาะอาหาร (achlorydia) ได้ดีขึ้น(โดยปราศจากผลิตกรดในกระเพาะอาหาร)
บี 12
วิตามินบี 12 (cobalamin) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกิจกรรมทางประสาทและการทำงานของสมอง B12 เข้าสู่ร่างกายโดยการถูกผูกไว้กับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ในการดูดซับมัน โมเลกุลของวิตามินจะต้องถูกแยกออกจากโปรตีนเหล่านี้ด้วยความช่วยเหลือของ – เดาเอาเองก็ได้ว่าเป็น – กรดในกระเพาะอาหารเสียก่อน
ถ้ากรดในกระเพาะอาหารต่ำ วิตามินบี 12 ไม่สามารถแยกออกจากโปรตีนได้และดังนั้นจึงไม่ถูกดูดซึมได้ ในการศึกษาจาก 359 คนอายุ 69-79 ปีที่มีโรคกระเพาะขั้นรุนแรง ซึ่งถูกวินิจฉัยว่ามีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ กว่าร้อยละ 50 ของคนเหล่านี้มีระดับวิตามินบี 12 ต่ำ
งานวิจัยมากมายกล่าวถึงผลกระทบของการรักษาด้วย PPI ต่อการดูดซึมวิตามินบี 12 ในการศึกษาหนึ่งทำการศึกษาการเข้ารับการรักษาด้วย Prilosec 20 มิลลิกรัมและ 40 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลาสองสัปดาห์พบว่า การดูดซึมวิตามินบี 12 ลดลงถึง 72% และ 88% ตามลำดับ
โฟเลต
เหนือสิ่งอื่นใด โฟเลต (กรดโฟลิค) มีความสำคัญในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดให้มีสุขภาพดีและป้องกันข้อบกพร่องบางอย่างในการให้กำเนิดทารก ระดับกรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจรบกวนการดูดซึมโฟเลตโดยการเพิ่มค่า pH ในลำไส้เล็ก ในขณะเดียวกันเมื่อให้โฟเลตแก่ผู้ป่วย achlorydric (ไม่มีกรดในกระเพาะอาหาร) พร้อมกับอาหารเสริม HCL, การดูดซึมของวิตามินเพิ่มขึ้นร้อยละ 54
ทั้ง Tagamet และ Zantac ลดการดูดซึมโฟเลตในการศึกษาอื่น ๆ อีกมากมาย แม้ว่าการลด Zantac ไม่ได้มีนัยสำคัญทางสถิติ การลดการดูดซึมโดยรวมของโฟเลตเป็นร้อยละ 16 การลดลงนี้อาจจะไม่เพียงพอที่จะเป็นอันตรายต่อคนที่มีสุขภาพดี และบริโภคโฟเลตในระดับที่เพียงพอ แต่ก็อาจทำให้เกิดปัญหาในผู้ที่ขาดโฟเลตหรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
แคลเซียม
แคลเซียมทำให้กระดูกและฟันของเราแข็งแรงและรับผิดชอบต่อระบบของร่างกายนับร้อย หากไม่นับหน้าที่อื่น ๆ ในร่างกายของเรานับพัน ความสำคัญของกรดในกระเพาะอาหารในการดูดซึมแคลเซียมเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 1960 เมื่อกลุ่มนักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าผู้ป่วยที่มีแผลบางคนแทบจะไม่ดูดซับแคลเซียมใด ๆ เลย(ร้อยละ 2) เมื่อพวกเขาได้รับการตรวจสอบพบว่ามีค่า pH ในกระเพาะอาหารสูง (6.5) และกรดมีในกระเพาะอาหารน้อยมาก แต่เมื่อนักวิจัยได้ให้อาหารเสริม HCL เพื่อลดค่าพีเอชลงมาราว 1จุด พบว่าการดูดซึมแคลเซียมเพิ่มขึ้นห้าเท่า
สังกะสี
สังกะสีมีส่วนร่วมในกระบวนการเผาผลาญอาหารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเยื่อหุ้มเซลล์ที่ทำให้แข็งแรง สร้างกระดูกใหม่ ปกป้องภูมิคุ้มกัน การมองเห็นในตอนกลางคืนและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ในการทดลองหนึ่งที่ควบคุมการรักษา โดยใช้ Tagamet พบว่ามันลดการดูดซึมสังกะสีโดยประมาณร้อยละ 50 อีกการศึกษาหนึ่งพบว่า Pepcid ซึ่งลดกรดแล้วทำให้เกิดค่าความเป็นกรดด่างของกระเพาะอาหารมากกว่า 5 มีผลเช่นเดียวกัน
แม้ว่าจะมีงานวิจัยเล็กๆไม่มากนักเกี่ยวกับการดูดซึมของสารอาหารอื่น ๆ แต่มีเหตุผลที่ดีที่จะเชื่อได้ว่าระดับกรดที่ต่ำในกระเพาะอาหาร อาจมีผลในระดับของวิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินบี (วิตามินบี 1), riboflavin,(วิตามินบี 2) และไนอาซิน (วิตามินบี 3) ในทางทฤษฎี การดูดซึมของสารอาหารใด ๆ ที่ถูกผูกไว้กับโปรตีนจะถูกยับยั้งได้เช่นเดียวกัน
ด้วยรักและห่วงใย
สวัสดี
ขอขอบคุณ CHRIS KRESSER และภาพจาก Google
How your antacid drug is making you sick (Part A)
Believe it or not, stomach acid isn’t there just to punish you for eating Indian food. Acid is in the stomach because it’s supposed to be there. It is found in all vertebrates. And while it isn’t necessary for life, it is certainly required for health.
Most people have no idea how many vital roles stomach acid plays in our bodies. Such misunderstanding is perpetuated by drug companies who continue to insist that stomach acid is not essential. Meanwhile, millions of people around the world are taking acid suppressing drugs that not only fail to address the underlying causes of heartburn and GERD, but put them at risk of serious (and even life-threatening) conditions.
There are four primary consequences of acid stopping drugs:
Increased bacterial overgrowth
Impaired nutrient absorption
Decreased resistance to infection
Increased risk of cancer and other diseases
I had originally intended to cover all four of these issues in this article, but as I started to write I realized it would be far too long. So I will cover increased bacterial overgrowth and impaired nutrient absorption in this article, and decreased resistance to infection and increased risk of cancer and other diseases in the next article.
A stomach full of germs
We’re not going to spend much time on this here since the connection between low stomach acid and bacterial overgrowth was the focus of Part II and Part III.
To review, low stomach acid causes bacterial overgrowth in the stomach and other parts of the intestine. Bacterial overgrowth causes maldigestion of carbohydrates, which in turn produces gas. This gas increases the pressure in the stomach, causing the lower esophageal sphincter (LES) to malfunction. The malfunction of the LES allows acid from the stomach to enter the esophagus, thus producing the symptoms of heartburn and GERD.
Bacterial overgrowth has a number of other undesirable effects, including reducing nutrient absorption, increasing inflammation, and raising the risk of stomach cancer. Studies have confirmed that proton-pump inhibitors (PPIs) can profoundly alter the gastrointestinal bacterial population by suppressing stomach acid. Researchers in Italy detected small bowel bacterial overgrowth (SIBO) in 50% of patients using PPIs, compared to only 6% of healthy control subjects. The prevalence of SIBO increased after one year of treatment with PPIs.
Well-fed but undernourished
Stomach acid is a prerequisite to healthy digestion. The breakdown and absorption of nutrients occurs at an optimum rate only within a narrow range of acidity in the stomach. If there isn’t enough acid, the normal chemical reactions required to absorb nutrients is impaired. Over time this can lead to diseases such as anemia, osteoporosis, cardiovascular disease, depression, and more.
Macronutrients
Stomach acid plays a key role in the digestion of protein, carbohydrates and fat. When food is eaten, the secretion of stomach acid (HCL) triggers the production of pepsin. Pepsin is the enzyme required to digest protein. If HCL levels are depressed, so are pepsin levels. As a result, proteins don’t get broken down into their component amino acids and peptides. This can lead to a deficiency of essential amino acids, which in turn may lead to chronic depression, anxiety and insomnia.
At the same time, proteins that escape digestion by pepsin may end up in the bloodstream. Since this is not supposed to happen, the body reacts to these proteins as if they were foreign invaders, causing allergic and autoimmune responses. I’ll discuss this more below.
Micronutrients
We can eat the most nutritious diet imaginable, packed with vitamins, minerals and other essential nutrients, but if we aren’t absorbing those nutrients we won’t benefit from them.
As acid declines and the pH of the stomach increases, absorption of nutrients becomes impaired. Decades of research have confirmed that low stomach acid – whether it occurs on its own or as a result of using antacid drugs – reduces absorption of several key nutrients such as iron, B12, folate, calcium and zinc.
Iron
Iron deficiency causes chronic anemia, which means that the body’s tissues are literally starving for oxygen.
In one study, 35 of 40 people (80 percent) with chronic iron-deficiency anemia were found to have below normal acid secretion. Iron-deficiency anemia is a well-known consequence of surgical procedures that remove the regions of the stomach where acid is produced.
Researchers have found that inhibition of acid secretion by Tagamet, a popular acid stopping drug, resulted in a significant reduction of iron. At the same time, studies have shown that adding acid has improved iron absorption in patients with achlorydia (no stomach acid production).
B12
Vitamin B12 (cobalamin) is needed for normal nerve activity and brain function. B12 enters the body bound to animal-derived proteins. In order for use to absorb it, the vitamin molecules must first be separated from these proteins with the help of – you guessed it – stomach acid.
If stomach acid is low, B12 can’t be separated from its carrier proteins and thus won’t be absorbed. In one study of 359 people aged 69-79 years with serious atrophic gastritis, a disease characterized by low stomach acid, more than 50 percent had low vitamin B12 levels.
A number of studies have examined the negative effect of PPI therapy on B12 absorption. In a study on healthy subjects treated with 20 mg and 40 mg of Prilosec per day for two weeks, B12 absorption was reduced by 72% and 88% respectively.
Folate
Among other things, folate (folic acid) is vital for keeping the cardiovascular system healthy and for preventing certain birth defects. Low stomach acid levels can interfere with folate absorption by raising the pH in the small intestine. At the same time, when folate is given to achlorydric patients (with no stomach acid) along with an HCL supplement, absorption of the vitamin increases by 54 percent.
Both Tagamet and Zantac reduced folate absorption in another study, though the reduction in the Zantac group was not statistically significant. The overall reduction of folate absorption was sixteen percent. This modest reduction is probably not enough to harm a healthy person consuming adequate levels of folate, but it may cause problems in those with folate deficiency (relatively common) or other health problems.
Calcium
Calcium makes our bones and teeth strong and is responsible for hundreds, if not thousands, of other functions in our body. The importance of stomach acid in the absorption of calcium has been known since the 1960s, when one group of researchers noted that some ulcer patients were barely absorbing any calcium at all (just 2 percent). When they investigated they found that these subjects had a high gastric pH (6.5) and very little stomach acid. However, when the researchers gave them HCL supplements, lowering the pH to 1, calcium absorption rose five-fold.
Zinc
Zinc takes part in several metabolic processes related to keeping cell membranes stable, forming new bone, immune defense, night vision, and tissue growth. In one controlled trial, Tagamet treatment reduced zinc absorption by about 50 percent. Another study found that Pepcid, which raises intragastric pH to over 5, had the same effect.
Although there is little systemic research on the absorption of other nutrients, there is good reason to believe that low acid levels may also effect levels of vitamin A, vitamin E, thiamine (vitamin B1), riboflavin (vitamin B2), and niacin (vitamin B3). Theoretically, the absorption of any nutrient that is bound to protein will be inhibited
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
![]() รายการ หมอนอกกะลา
ตอน ธรรมชาติบำบัดกับโรค มีเนียร์ (Meniere's Disease :น้ำในหูไม่เท่ากัน บ้านหมุน)
บทความนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีผู้ป่วยท่านหนึ่งชื่อ #แมวลับแล ในเฟสบุ๊ค ขอให้รักษาเธอ จากการวินิจฉัยของแพทย์ว่า หินปูนในหูหลุด และตอนนี้เธอหายดีแล้ว จึงกล้าเขียนครับ
ก่อนอื่นมีความจำเป็นยิ่งที่จะต้องแยกแยะระหว่างคนที่มีโรคมีเนียร์กับคนที่มีอาการของโรคมีเนียร์
โรคมีเนียร์ไม่ได้ระบุจากสาเหตุแต่ระบุด้วยชุดของอาการ ตัวอย่างเช่นบางคนมีอาการของโรคมีเนียร์เพราะไวรัสเริม (HSV) และบางคนมีอาการของโรคมีเนียร์เพราะแพ้อาหารและจะถูกบอกว่ามีโรคมีเนียร์
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะต้องหาให้พบว่าสาเหตุมันมาจากอะไรกันแน่ แล้วหยุดเหตุในขณะทำการรักษา
มาพิจารณาเกี่ยวกับอาหารกันสักนิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคนี้หรือไม่อย่างไร
หลายคนที่มีโรคมีเนียร์ หูดับและไมเกรนจะมีอาการวิงเวียน ซึ่งพบว่าการปรับเปลี่ยนบางอย่างในการรับประทานมีประโยชน์ในการจัดการความผิดปกติของพวกเขา หลีกเลี่ยงสารที่ไม่ใช่อาหารเช่นนิโคตินและยาบางชนิด อาการจะลดลง
สมดุลของของเหลวในหูชั้นใน
โครงสร้างของของเหลวและสมดุลของหูชั้นใน ตามปกติจะทำงานอย่างเป็นอิสระจากของเหลวรวมของร่างกาย / ระบบเลือด ของเหลวนี้ (เรียกว่า endolymph) ซึ่งเซลล์ประสาทสัมผัสของหูชั้นในจะรักษาปริมาณให้คงที่ มีความเข้มข้นที่เฉพาะเจาะจงและมีเสถียรภาพของโซเดียม โพแทสเซียม คลอไรด์และอิเล็กโตรไลท์อื่น ๆ
จากการบาดเจ็บหรือโรค ปริมาณและองค์ประกอบของ endolymph อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนแปลงของเหลวในร่างกาย / เลือด ความผันผวนนี้ถูกคิดว่าเป็นต้นเหตุของอาการหูดับหรือโรคมีเนียร์-แรงดันหรือแน่นในหู หูอื้อ (เสียงในหู) การสูญเสียการได้ยิน วิงเวียนและความไม่สมดุลในการทรงตัว ดังนั้นสำหรับผู้ที่มีโรคมีเนียร์ การรักษาเสถียรภาพของของเหลวในร่างกายของ / ระบบเลือดเป็นสิ่งที่สำคัญ
กลยุทธ์การบริโภคอาหาร
การจัดการอาหารที่จะช่วยควบคุมปริมาณของเหลวที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนปริมาณของสารบางอย่างที่ควรบริโภคและลดความผันผวน กลยุทธ์นี้รวมถึง:
การกระจายอาหารและการดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวันและวันต่อวัน
หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและเกลือสูง อาหารที่มีน้ำตาลที่ซับซ้อน (อาทิที่พบในพืชตระกูลถั่วและเมล็ดธัญพืช) เป็นทางเลือกที่ดีกว่าอาหารที่มีความเข้มข้นของน้ำตาลเชิงเดี่ยว (อาทิน้ำตาลทรายและน้ำผึ้ง) การบริโภคโซเดียมมีผลต่อระดับของเหลวในร่างกายและการควบคุมการไหลเวียน นักโภชนาการ หรือ แพทย์แต่ละคนจะเป็นผู้ตัดสินระดับที่เหมาะสมของการบริโภคโซเดียม
ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่สามารถทำให้อาการหูอื้อดังมากขึ้น และคุณสมบัติขับปัสสาวะของมันยังก่อให้เกิดการสูญเสียของเหลวในปริมาณที่มากเกินไป
กำจัดหรืองดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจาก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่อหูชั้นในโดยการเปลี่ยนปริมาณและองค์ประกอบของของเหลว
หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดไมเกรนรวมทั้งอาหารที่มี amino acid tyramine อาทิ ไวน์แดง ตับไก่ เนื้อรมควัน โยเกิร์ต ช็อคโกแลต กล้วย ผลไม้ประเภทส้ม มะเดื่อสุก ชีส และถั่ว
สารที่ไม่ควรบริโภค
นอกจากการปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารแล้วสิ่งที่ควรให้ความสนใจและอาจมีผลต่อหูชั้นในและเพิ่มอาการของความผิดปกติของการขนถ่าย ตัวอย่างเช่น:
ยาลดกรดอาจจะมีจำนวนของโซเดียมในปริมาณที่สูง
ยาต้านการอักเสบ nonsteroidal (NSAIDs) เช่น ibuprofen สามารถก่อให้เกิดการกักเก็บน้ำหรือความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลท์
แอสไพรินสามารถเพิ่มอาการหูอื้อ
นิโคติน (ที่พบในผลิตภัณฑ์ยาสูบ) สามารถเพิ่มอาการเพราะมันลดปริมาณเลือดที่ส่งไปยังหูชั้นในจากการทำให้เลือดหนืด และมันยังทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของความดันโลหิต
อ้างจากหนังสือ: The Calcium Bomb – The Nanobacteria Link to Heart Disease and Cancer โดย Douglas Mulhall and Katja Hansen ที่ว่า..
โรคมีเนียร์เกิดจากการกลายเป็นปูน (หน้า 4) หนังสือเล่มนี้ยังระบุอีกว่า: หูชั้นในควบคุมสมดุลด้วยของเหลว บางครั้งก้อนหินเล็ก ๆ ในหูดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีจากแคลเซียมคาร์บอเนตไปเป็นแคลเซียมฟอสเฟตแล้วเคลื่อนไปรอบ ๆ ของเหลวและนำไปสู่การสูญเสียความสมดุล
ซึ่งหมายความว่าหนึ่งในการรักษาโรคมีเนียร์อาจใช้แคลเซียมคีเลตเช่นเดียวกับการรักษาโรคนิ่วในไต นอกจากนี้หน่อไม้ฝรั่งหนึ่งถ้วยตวงต่อวันจะส่งผลดีต่อทั้งโรคมีเนียร์และโรคนิ่วในไต
แต่อย่างไรก็ตามการพิจารณาถึงการรักษาโรคที่ทำให้เกิดอาการของโรคมีเนียร์นั้นมาจากสาเหตุใดได้บ้าง มาดูกัน!!!!
สาเหตุของอาการ: สารให้ความหวาน
- แอสปาแตม
คือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่พบในแทบทุกเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมายที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้เกิดอาการของโรคมีเนียร์ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและอาการอื่น ๆ อีกจำนวนมาก
กติกาข้อที่ # 1: หลีกเลี่ยงสารให้ความหวาน ไม่ว่าจะราคาถูกหรือแพง
ในทำนองเดียวกันสารเติมแต่งอาหารที่แพร่หลายอย่างผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมต (ที่จะกล่าวถึงต่อไป) ยังเป็นต้นเหตุของโรคมีเนียร์อีกด้วย
เนื่องจากทั้งสองสารนี้เป็น"excitotoxins"และผมยังเชื่อว่าสารเติมแต่งทุกชนิดที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเพื่อใช้กับอาหารก่อให้เกิดอาการของโรคมีเนียร์
หมายเหตุ:ผู้ป่วยมีเนียร์ควรหลีกเลี่ยงเกลือและอาหารผ่านกระบวกการทั้งหมดเพราะมักมีเกลือและผงชูรสซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
สาเหตุที่เป็นไปได้: แพ้อาหาร Food Allergies
โรคภูมิแพ้มักก่อการอักเสบในร่างกาย โรคภูมิแพ้เหล่านี้ปรากฏขึ้นในสถานที่ที่แตกต่างกันในร่างกาย และมันก็เป็นหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการของโรคมีเนียร์
เมื่อเร็ว ๆ นี้ความสนใจต่างๆได้มุ่งเน้นไปที่การทำงานของภูมิคุ้มกันของถุง endolymphatic; และพบว่าโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันอาจนำไปสู่การเกิดโรคมีเนียร์ ประกอบกับการติดเชื้อไวรัสของหูชั้นใน การบาดเจ็บที่ศีรษะ ความบกพร่องทางพันธุกรรมและโรคภูมิแพ้
สาเหตุที่เป็นไปได้: จุลินทรีย์
ในการศึกษาหนึ่งที่ใช้ผู้ป่วยโรคมีเนียร์เพื่อการตรวจไวรัส HSV-1 และไวรัส HSV-2 : HSV-1 เป็นไวรัสที่พบบ่อยมากและทำให้เกิดหวัด
:HSV-2 เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบว่า 20 จาก 21 ผู้ป่วยมี การสร้างภูมิต้านทานต่อ ไวรัสHSV-1
ในขณะที่โรคมีเนียร์อาจจะเกิดจากเชื้อไวรัสแต่หลักฐานยังไม่เพียงพอว่าโดยทั่วไปมันเกิดขึ้นจากไวรัส
สิ่งอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยง
โรคมีเนียร์อาจจะส่งผลรุนแรงจากการไหลเวียนของโลหิตที่ไม่ดี คาเฟอีนและนิโคตินเป็นที่รู้จักกันดีว่าจะทำให้เกิดปัญหาการไหลเวียน เบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งทำให้เลือดข้นก็ก่อให้เกิดปัญหาการไหลเวียนเช่นกัน
การรักษา
นี่คือบางทางเลือกในการรักษาที่อ้างว่ารักษาโรคมีเนียร์ได้:
แมงกานีส 50 มิลลิกรัมต่อวัน
โครเมี่ยมพิโคลิเนตช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
แมกนีเซียม 200 มิลลิกรัมต่อวัน
แคลเซียม ที่สมดุลกับแม็กนีเซียม
Vinpocetine
เอนไซม์ไลเปส (เป็นที่รู้จักกันดีว่าโรคมีเนียร์เกิดจากการขาดเอนไซม์นี้)
ไนอาซิน - วิตามิน B3 (เพิ่มการไหลเวียน)
พริกป่น (เพิ่มการไหลเวียน)
กำมะถัน ในธรรมชาติ พบในอาหารพวกโปรตีน เช่น เนื้อไม่ติดมัน กุ้ง หอย ปู ปลา ถั่ว ตับ น้ำมันปลา ข้าวกล้อง กระเทียม กะหล่ำปลี(เพิ่มการไหลเวียน)
แปะก๊วย (เพิ่มการไหลเวียน)
Coenzyme Q10 (CoQ10) (เพิ่มการไหลเวียน)
Alpha Lipoic Acid (Lipoic Acid) (สำหรับอาการหูดับ)กรดอัลฟ่าไลโปอิคพบได้ในอาหารบางชนิดเช่นเนื้อวัวไม่ติดมันหรืออวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ, หัวใจ และไต ผักขม บล็อกโคลี่และมันฝรั่ง
วิตามินซีร่วมกับไบโอฟลาโวนอยด์ (ทำให้หลอดเลือดแดงมีพลั๊คน้อยลง)
วิตามิน B วิตามินบี 12
และในโรคนี้ ไม่ควรรักษาเกิน 1 เดือนด้วยยา เพราะจะเป็นการเพิ่มการเปลี่ยนแปลงของสารในหูชั้นใน และตามประสบการณ์ของผม แพทย์มักจ่ายยาขับปัสสาวะเสมอซึ่งส่งผลให้เกิดอาการไตวายเฉียบพลันมานักต่อนัก
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
ขอบคุณหนังสือดี ๆ บนโลกใบนี้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
![]() รายการ หมอนอก กะลา
ตอน เล็บ ก็เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสารอาหารในร่างกายได้ไม่แพ้ อุจจาระและปัสสาวะ ซึ่งตัวผู้เขียนก็ประสบปัญหานี้เนื่องจากการบริจากโลหิตทุก ๆ สามเดือน เลยทำให้สูญเสียแร่ธาตุในระบบของร่างกายไปพอสมควร และใช้เวลาซ่อมนานนับเดือนกว่าจะสวยเป็นปกติ ก็เลยอยากแบ่งปันความรู้นี้เพื่อเรา ๆ ท่าน ๆ จะได้พึงสังเกตและแก้ไข ขอย้ำนะครับ ว่า อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกาย ต้องการสารอาหารต่างชนิดกัน จึงควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย และหลีกเลี่ยงอาหารขยะ เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ขาดสารอาหารแต่ยังทำลายสุขภาพอีกด้วย มารู้จักเล็บ กันก่อนนะ ลักษณะโครงสร้างของเล็บแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ดังนี้ครับ 1. Nail plate คือ แผ่นเล็บ ประกอบด้วย เซลล์ที่ตายแล้ว เล็บจะยาวและงอกใหม่ตลอดเวลา มีโปรตีนที่เรียกว่า keratin ซึ่ง keratin ที่เล็บต่างจาก keratin ของผิวหนัง คือ เล็บจะเป็น Hard keratin ส่วนผิวหนังจะเป็น Soft keratin ดังนั้นเล็บจึงมีความแข็ง ส่วนผิวหนังจะนุ่มกว่า โดย Hard keratin ในร่างกายจะพบที่แผ่นเล็บและเส้นผมหรือขน (Hairs) ส่วนบริเวณอื่นๆ ของร่างกายจะเป็น Soft keratin ทั้งสิ้น Hard keratin มีข้อแตกต่างจาก Soft keratin คือ Hard keratin จะไม่หลุดลอกไปเอง จะต้องตัดออก เช่น ตัดเล็บ ตัดผม ส่วน Soft keratin นั้นจะลอก หลุดออกไปเป็นขี้ไคลเองตามธรรมชาติ ความหนาของ Nail plate นั้น เล็บผู้ชายจะหนากว่าเล็บผู้หญิง และเล็บนิ้วเท้าจะหนากว่าเล็บนิ้วมือ ซึ่งในบริเวณโคนเล็บจะพบเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เรียกว่า Lunula ซึ่งก็คือ ส่วนของตัวสร้างเล็บ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ Nail plate ยึดกับ Nail bed อย่างหลวมๆ และแยกออกจากกันได้ไม่ยาก 2. Proximal nail fold คือ ผิวหนังด้านล่างบริเวณโคนเล็บ มีเยื่อขาวๆที่เรียกว่าคิวติเคิล ช่วยยิดโคนเล็บให้ติดกับ Nail plate 3. Lateral nail folds คือ ผิวหนังที่ปกคลุมด้านข้างทั้งซ้ายและขวาของ nail plates ไว้ ทำให้ nail plate ถูกปกคลุมด้วยผิวหนังตลอด 3 ด้าน คือด้านโคนเล็บถูกปกคลุมด้วย proximal nail fold และด้านข้างทั้ง 2 ด้านปกคลุมด้วย lateral nail folds เหลือเพียงด้านด้านบนด้านเดียวที่ไม่มีผิวหนังปกคลุมซึ่งเป็นด้านที่เล็บจะยาวออกไป 4. Nail matrix คือ ตัวสร้างเล็บ (nail plate) ประกอบไปด้วยเซลล์ต่างๆ โดยเซลล์ส่วนใหญ่คือ keratinocyte ที่จะผลิตเล็บให้ยืดยาวออกไป 5. Nail bed คือ เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ nail plate 6. Hyponychium คือ ผิวหนังบริเวณที่ Nail plate แยกตัวออกจาก nail bed ทำให้สามารถตัดเล็บได้บริเวณตำแหน่งนี้ มาลองล้างเล็บให้สะอาดเป็นธรรมชาติ แล้วมานั่งดูเล็บกันดีมั๊ยครับ ซึ่งพอจะบอกถึงความน่าจะเป็นของปัญหาสุขภาพที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกายได้ดีพอสมควรครับ • ลักษณะของเล็บ 1. ตัวเล็บเป็นร่อง 1.1 ถ้าผิวเล็บบริเวณใดบริเวณหนึ่งเป็นร่องขวาง แสดงว่าผู้ที่มีเล็บดังกล่าวเคยได้รับผลกระทบทางด้านอารมณ์อย่างรุนแรง ก่อให้เกิดอาการขาดสารอาหาร หรือเคยเจ็บป่วยค่อนข้างหนักก่อนหน้านี้ 1.2 ถ้าตัวเล็บเป็นร่องหลายร่อง มักพบในผู้ป่วยที่เป็นพยาธิหรือการทำงานของลำไส้ไม่ดี ถ้าเป็นที่หัวแม่มือมักเป็นผู้ที่ไม่กระฉับกระเฉง ถ้าเป็นที่นิ้วชี้แสดงว่าเป็นโรคผิวหนัง ถ้าเป็นที่นิ้วกลางมักเป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อไม่มีแรง ถ้าเป็นที่นิ้วนิ้วนาง มักเกิดโรคเกี่ยวกับตา หลอดลมอักเสบ โรงทางเดินหายใจ ถ้าเป็นที่นิ้วก้อยมักเป็นโรคที่เกี่ยวกับคออักเสบ โรคประสาท หรือถุงน้ำดี 2. เล็บงุ้มหรืองอน 2.1 ถ้าเล็บงุ้ม มักเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง หรือพิษสุราเรื้อรัง หรือโรคเกี่ยวกับข้อ 2.2 ถ้าเล็บงอน มักเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ อาการห้อเลือดเรื้อรัง อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ หรือขาดธาตุแคลเซียม 3. นิ้วเล็บเปลี่ยนแปลง 3.1 เล็บสั้นและเป็นเหลี่ยม มักเป็นโรคหัวใจที่เกิดจากอารมณ์ฉุนเฉียว โมโหง่าย ยิ่งถ้ามีเนื้อเล็บรูปครึ่งวงกลมเล็ก ๆ สีขาวบริเวณโคนเล็บ หรือไม่มี อาการของโรคก็จะชัดเจน และรุนแรงมากขึ้น 3.2 ถ้าโคนเล็บเล็ก ปลายเล็บใหญ่มีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม มักเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง มีอาการชาและปวดได้ง่าย ถ้าเล็บซีด หรือเหลืองคล้ำ แสดงว่าอาการของโรคกำเริบ 3.3 เล็บสั้น มักเป็นโรคขาดสารอาหาร หรือเป็นผู้ที่มีความไวต่อความรู้สึกต่าง ๆ 3.4 ตัวเล็บกว้างแต่สั้น แสดงว่าเป็นผู้ที่หัวใจค่อนข้างอ่อนแอ และมักเกิดโรคบริเวณท้องและเอว หรือช่วงล่างของร่างกาย ถ้าปลายเล็บเรียบและลึกเข้าไปในเนื้อมักเกิดโรคเกี่ยวกับประสาท โรคปวดข้อ ถ้าเป็นหญิงมักเป็นโรคเกี่ยวกับมดลูก ถ้าผิวเล็บด้านไม่แวว มักตั้งครรภ์ได้ยาก 3.5 ฐานและปลายเล็บเล็ก ตรงกลางใหญ่คล้ายรักบี้ แสดงว่า หลอดเลือดหัวใจมีปัญหา หรือ เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง 3.6 เล็บเป็นรอยเส้นตามความยาวของเล็บ เนื้อเล็บส่วนกลางบาง มักมีพยาธิปากขอ หรือขาดแคลเซียม 3.7 เล็บตรงกลางนูนขึ้นปลายงุ้มลง ถ้าเป็นทั้งสิบนิ้ว(ในระดับต่าง ๆ กัน) แสดงว่าเป็นโรคเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น วัณโรคปอด หืด เป็นต้น 3.8 เล็บรูปจันทร์เสี้ยว แสดงว่าเป็นโรคเกี่ยวกับเนื้องอกได้ง่าย 3.9 เล็บแบนเรียบ(ไม่โค้ง) เหมือนแผ่นกระดานติดอยู่บนนิ้ว มักเป็นผู้ที่มีภูมิต้านทานร่ากายน้อย ร่างกายอ่อนแอขี้โรค 3.10 ฐานเล็บเล็กปลายกว้างคล้ายเปลือกหอย มักเป็นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ หลอดเลือดสมองแตกหรือเป็นอัมพาตได้ง่าย หรือเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง 3.11 เล็บมีรอยยาวและเนื้อเล็บแตกง่าย มักมีร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย ถ้าปรากฏที่หัวแม่มือ แสดงว่ามักเป็นคนที่กินอาหารจำเจ จนเป็นเหตุให้เกิดโรค 3.12 เล็บยาว มักเป็นผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ระบบหายใจไม่แข็งแรง ถ้าเล็บสีคล้ำ ผิวเล็บเป็นรอยเส้น ยาวเห็นได้ชัดเจน อาการโรคเกี่ยวกับระบบหายใจก็ยิ่งรุนแรงขึ้น 3.13 เล็บยาวแต่แคบ เล็บซีดหรือสีคล้ำ มักเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกโดยเฉพาะกระดูกสันหลัง และมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย3.14 เล็บเป็นร่อง มักเป็นโรคขาดอาหาร หรือเป็นผู้ที่ตรากตรำทำงานหนัก หรือเป็นผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ระบบหายใจไม่แข็งแรง 4. เล็บนูนเป็นเส้น เป็นริ้ว : ขาดวิตามินเอและโปรตีน ไตผิดปกติ 5. เล็บฉีก เปราะ หรือหลุด : ขาดวิตามินเอและดี โลหิตไหลเวียนไม่สะดวก โรคไทรอยด์ ขาดกรดไฮโดรคลอริก, ธาตุเหล็ก, แคลเซียม และโปรตีน 6. เล็บแอ่นงอขึ้น : ขาดธาตุเหล็กและสังกะสี โรคไทรอยด์ 7. ปลายเล็บงุ้มลง : หัวใจและตับผิดปกติ มีปัญหาการหายใจ ขาดวิตามินบี 12 8. เล็บดำคล้ำ บุ๋มเป็นรูปช้อน : โรคโลหิตจาง ขาดวิตามินบี 12 9. เล็บแบน : ขาดธาตุเหล็ก,โปรตีน และวิตามินบี 12 โรคสะเก็ดเงิน โรคเบาหวาน 10. เล็บกว้าง เป็นรูปสี่เหลี่ยม : ฮอร์โมนไม่สมดุล 11. เล็บหนา : ระบบไหลเวียนโลหิตไม่ดี โรคไทรอยด์ 12. เล็บบุ๋ม ฉีก : ขาดวิตามินซีและโปรตีน 13. เล็บยาวช้า : ขาดธาตุสังกะสี 14. จมูกเล็บลอกบ่อย : ขาดวิตามินซี • สีของเล็บ 1. เล็บมีจุดๆ สีขาว : ขาดธาตุสังกะสี โรคไทรอยด์ หรือขาดกรดไฮโดรคลอริก 2. เล็บมีแถบขาว : ขาดธาตุสังกะสีหรือโปรตีน โรคหัวใจ ตับและไตมีปัญหา 3. เล็บสีขาว แต่ปลายสีชมพู : โรคตับแข็ง 4. เล็บขาวซีด : ตับทำงานผิดปกติ เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ไตมีปัญหา โลหิตจาง ขาดแร่ธาตุ มีธาตุทองแดงมากเกินไป 5. เล็บเปลี่ยนสี : ขาดวิตามินบี 12 มีปัญหาที่ตับหรือไต 6. เล็บเหลือง : ขาดวิตามินอี เลือดไหลเวียนไม่สะดวก บวมน้ำเหลือง ตับมีปัญหา ระบบหายใจมีปัญหา โรคเบาหวาน ติดเชื้อรา ระบบขับถ่ายทำงานมากเกินไป 7. เล็บเขียวคล้ำ : ติดเชื้อแบคทีเรียที่เล็บ 8. เล็บสีน้ำเงินคล้ำ : มีปัญหาที่ปอด, หัวใจ และระบบไหลเวียนโลหิต ปฏิกิริยาจากการใช้ยา โลหิตเป็นพิษอันเนื่องจากมีธาตุเงินและทองแดงมากเกินไปในร่างกาย 9. เล็บมีวงกลมสีน้ำเงิน : โรครูมาตอยด์ 10. เล็บมีแถบดำ : ต่อมหมวกไตไม่ค่อยทำงาน ปฏิกิริยาจากเคมีบำบัด หรือการฉายรังสี 11. เล็บสีน้ำตาล : ไตวาย 12. เล็บมีสีครึ่งน้ำตาลครึ่งขาว : ไตวาย 13. เล็บมีเส้น ริ้ว สีน้ำตาลหรือดำ จากโคนถึงปลายเล็บ : มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา 14. ปลายเล็บมีสีคล้ำ : ขาดวิตามินบี 12 เฝ้าสังเกตุกันนะครับ จะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีและถูกวิธี สวัสดี แหล่งข้อมูลอ้างอิง http://www.nestle-family.com/.../the-right-nutrition-for... http://jn.nutrition.org/content/55/2/323.full.pdf ANONYMOUS 1934 Lunula of finger nails. J. Am. Med. Assn., IOS: 1012. BASLER, A. 1937 Growth processes in fully developed organisms. Med. Klin., 33: 1664. BAU, K.-T. 1928 Technic of measurement of growth. Anat. Ana., 65: 420. BEAN, W. B. 1950 Control in research in human nutrition. Nutrition Rev., 8: 97. 1953 A note on fingernail growth. J. Invest. Derm., 20: 27. CLARK,W. E. L., ANDL. H. D. BUXTON 1938 Studies in nail growth. Brit. J. Derm, and Syphilis, 50: 221. COCHEAN,W. G., ANDG. M. Cox 1950 Experimental Designs. John Wiley and Sons, New York. DUNSTAN,W. R. 1938 Function and nutrition. Med. Officer, 59: 45; Nutrition Abstr. and Rev., 8: 172. GILCHRIST, M. L., AND L. H. D. BUXTON 1939 The relation of finger-nail growth to nutritional status. J. Anat., 73: 575. GOLDBLUM,B. W., S. DERBY AND A. B. LERNER 1953 The metal content of skin, nails and hair. J. Invest. Derm., 20: 13. HALBAN, J., AND M. Z. SPITZER 1929 On the increased growth of nails in pregnancy. Monatschr. f. Gerburtsh. u. Gynäk.,82: 25. HOTTA, K., AND K. TAKAZI 1937 The cholesterol content of nails and hoofs of different animals. J. Biochem. (Japan), 25: 109; Chem. Aba., 31: 4384. PETERSEN,W. F. 1933 Meteorological and menstrual reflections in nail growth. Proc. Soc. Exp. Biol. Med., SO: 1164. RIDDLE,O. 1908 The genesis of fault-bars in feathers and the cause of alter nation of light and dark fundamental bars. Biol. Bull., li: 328. RÓNCHESE,F. 1951 Peculiar nail anomalies. A.M.A. Arch. Derm. Syph., 63: 565. SINCLAIR,H. M. 1948 The assessment of human nutriture. Vit. and Hormones, 6: 101. Academic Press. VOIT, E. 1930 Factors influencing rate of growth. Ztschr. f. Biol., 90: 525. WIOAND,R. 1937 Rate of growth of fingernails. Deutsche Ztsehr. f. d. ges. gerichtl. Med., 29: 75. และอีกมากมาย แต่ จะยาวซะปล่าว ครับ ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |