ไข้ที่เกิดจากติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อย เช่น
• โรคหวัดธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่ โควิดและโรคไข้เลือดออก
•
โรคหัด โรคคางทูม โรคอีสุกอีใส โรคโปลิโอ โรคหัดเยอรมัน
• โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้สมองอักเสบ โรคไข้ทรพิษ
• โรคเริม โรคงูสวัด โรคไวรัสตับอักเสบ โรคตาแดงจากไวรัส
เชื้อไวรัส หรือไวรัส (Virus) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก เล็กกว่าแบคทีเรียหลายเท่า ขนาดของไวรัสเท่ากับ 20 ถึง 300 นาโนเมตร (Nanometre) และสามารถทำให้เกิดโรค (การติดเชื้อไวรัส หรือ โรคติดเชื้อไวรัส Viral infection) ในคนได้หลายโรค
ไวรัสมีลักษณะพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้แก่
1.ไวรัส ไม่สามารถอยู่เป็นอิสระด้วยตัวเองได้ พวกเขาจำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสัตว์อื่น ๆเสมอ เช่น ไวรัสตับอักเสบ ต้องอาศัยอยู่ภายในเซลล์ตับและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นภายในเซลล์ ถ้าไวรัสออกมาอยู่นอกเซลล์จะไม่สามารถมีชีวิตและเพิ่มจำนวนได้
2.เราไม่สามารถมองเห็นเชื้อไวรัสด้วยตาเปล่าได้ และไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron microscope) ซึ่งต้องใช้กำลังขยายนับแสนเท่าจึงจะมองเห็นตัวไวรัสได้
ชนิดของไวรัส
1.แบ่งตามชนิดของสารพันธุกรรมนิวคลีอิคแอซิด (Nucleic acid) ที่ศูนย์กลางของตัวไวรัสเป็นดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA)
2.แบ่งตามรูปร่างของเปลือกโปรตีน (Capsid) ที่หุ้มอยู่รอบตัวไวรัส เช่น อาจมีรูปร่างหลายเหลี่ยม หรือเป็นเกลียว เป็นต้น
3.แบ่งตามชนิดของเปลือกไขมันรอบตัวไวรัส (Lipid envelope)
4.แบ่งตามลักษณะการแบ่งตัวของไวรัส
5.แบ่งตามอวัยวะที่ไวรัสเข้าไปอยู่และทำให้เกิดโรค เช่น
• ไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis virus) จะเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์ตับ
• ไวรัสสมองอักเสบ (Encephalitis virus) จะเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์สมอง เป็นต้น
6.แบ่งตามพยาธิสภาพ (Pathology) ที่เกิดในร่างกายมนุษย์ เช่น
• การทำลายเซลล์โดยตัวไวรัสเองโดยตรง (Direct cytopathic effect)
• การทำลายเซลล์ที่มีไวรัสโดยระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายเอง
• การทำให้เซลล์ที่ไวรัสเข้าไปอยู่กลายเป็นเซลล์มะเร็ง (Oncogenic virus)
วิธีการและขั้นตอนที่ไวรัสทำให้เกิดโรคกับร่างกาย
1.ไวรัสเกาะติดกับผนังเนื้อเยื่อหุ้มรอบเซลล์ (Cell membrane) โดยมากที่ผนังเนื้อเยื่อหุ้มรอบเซลล์จะมีตัวรับ (Receptor) ที่เหมาะกับโครงสร้างของไวรัสอยู่ด้วยจึงจะทำให้ไวรัสมาเกาะติดได้ง่าย
2. ไวรัสรุกรานเข้าภายในเซลล์และเริ่มแบ่งตัวเพื่อเพิ่มปริมาณ
3. ไวรัสสร้างโปรตีนที่เหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ของไวรัสภายในเซลล์ ทำให้ไวรัสที่เพิ่มขึ้นและสามารถอยู่อาศัยภายในเซลล์ได้
4.ไวรัสจะเข้าไปที่นิวเคลียสของเซลล์มนุษย์และกำหนดให้ลดการสร้างโปรตีนปกติของเซลล์นั้นๆ แต่จะสร้างเฉพาะโปรตีนที่เป็นประโยชน์กับไวรัสเท่านั้น ทำให้การทำงานของเซลล์เพื่อประโยชน์ของร่างกายลดลง
5.ท้ายที่สุด ไวรัสจะใช้เซลล์มนุษย์เป็นโรงงานผลิตไวรัสออกมาจำนวนมหาศาล ในขณะเดียวกันเซลล์นั้นก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติจึงเกิดอาการของโรคตามมา ต่อมาเมื่อถึงระยะหนึ่ง เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสนั้นก็จะตายหรือถูกทำลายไป ไวรัสที่อยู่ในเซลล์นั้นก็จะเคลื่อนย้ายเข้าไปยึดครองเซลล์อื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงต่อไป ถ้าเซลล์ของอวัยวะนั้นๆถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ก็จะเกิดอาการของโรคขึ้นมาอย่างชัดเจน เช่น
• ไวรัสตับอักเสบ ทำให้เกิดภาวะตับวาย (Liver failure)
• ไวรัสสมองอักเสบทำให้เกิดอาการหมดสติ ไม่รู้ตัว ชัก โคม่า (Coma)
• ไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ทำลายเซลล์ประสาททำให้เกิดอาการเกร็งของกล้าม เนื้อ หมดสติ และเสียชีวิต
6.การติดเชื้อไวรัสหลายชนิดโดยเฉพาะโรคหวัด (Common cold) โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โรคหัด (Measle) โรคอีสุกอีใส (Chicken pox) ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต้านทาน (Antibody) ต่อเชื้อไวรัสได้ทันท่วงที โดยมากจะไม่เกิน 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกาย ภูมิคุ้มกันต้านทานนี้สามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ และทำให้หายจากโรคได้โดยไม่เกิดความเสียหายต่ออวัยวะนั้นๆ
ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้โดย
1.ทางการหายใจ เช่น ไวรัสโรคหวัดธรรมดา ไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโรคไข้หวัดนก โควิดไวรัสที่ทำให้เกิดปอดอักเสบ ไวรัสโรคหัด
การไอ จามรดกัน การจูบกับคนที่เป็นโรค ทำให้มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานโดยไวรัสจะอยู่ในเซลล์ที่ปะปนออกมากับน้ำมูก น้ำลายที่ผู้ป่วยปล่อยออกมา
2.ทางเลือด เช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบทุกชนิด อาทิได้รับเลือดที่มีเชื้อ ใช้เข็มฉีดยาที่เปื้อนเลือดผู้ป่วย เลือดที่มีเชื้อไวรัสเข้าปาก เป็นต้น
3.ทางการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือเป็นพาหะโรค (Carrier) ของเชื้อไวรัส เช่น โรคเอดส์ โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma acuminatum) ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสเอชพีวี (HPV ,Human papilloma virus) ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อเอชพีวีที่อวัยวะเพศหญิง โรคเริมอวัยวะเพศ (Herpes progenitalis) ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 2 (Herpes simplex virus type 2)
4.ทางการตั้งครรภ์โดยเชื้อไวรัสแพร่จากแม่ไปสู่ลูก เช่น เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เชื้อไวรัสตับอักเสบ เชื้อไวรัสซีเอ็มวี (CMV) โรคหัดเยอรมัน (Rubella)
5.ทางการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรง เช่น ไวรัสโรคอีสุกอีใส (Chicken pox) โรคไข้ทรพิษ (Small pox)
6.ทางการถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด เช่น ไวรัสโรคกลัวน้ำ/โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) สามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ถูก สุนัข แมว ค้างคาวกัด เป็นต้น
7.เข้าทางตา เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตาแดงจากไวรัส (Viral conjunctivitis)
8.ยุงกัด เช่น ไวรัสสมองอักเสบ (Japanese B encephalitis virus) ไวรัสโรคไข้เลือดออกเด็งกี่ (Dengue hemorrhagic fever)
9.เข้าทางปาก เช่น ไวรัสโรต้า/โรคท้องร่วงจากไวรัสโรตา (Rota virus) ซึ่งทำให้เกิดโรคท้องร่วง/ท้องเสีย (Diarrhea) และไวรัสโปลิโอ (Polio virus) ที่ทำให้เกิดโรคแขนขาลีบ เป็นต้น
ไวรัสในร่างกายและระยะฟักตัวนาน
ไวรัสอยู่ในร่างกายมนุษย์โดยอาศัยอยู่ในเซลล์ของมนุษย์ที่ไวรัสแต่ละชนิดมีความสามารถเข้าไปอยู่ได้โดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างกันไปยกตัวอย่างเช่น
• ไวรัสตับอักเสบ จะเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับเท่านั้น
• ไวรัสสมองอักเสบจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ประสาทสมองส่วนกลาง
• ไวรัสเอดส์อยู่ในเม็ดเลือดขาวชนิดทีลิ้มโฟซัยท์ (T-lymphocyte)
• ไวรัสโรคหวัดอยู่ในเซลล์บุผนังทางเดินหายใจ เป็นต้น
เมื่อไวรัสอยู่ในเซลล์และขยายตัวได้มากขึ้น อาจจะมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุล ทรรศน์ธรรมดา (Light microscope) เรียกว่า อินคลูชั่นบอดี้ (Inclusion body) ซึ่งมักจะอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส
ระยะฟักตัวคือเวลานับตั้งแต่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกายจนถึงเวลาที่เกิดอาการของโรค จะแตกต่างกันไปในไวรัสแต่ละชนิด เช่น
• โรคหวัดธรรมดาจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-7 วัน
• โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำมีระยะฟักตัวประมาณ 7 วันถึง 2 ปี เป็นต้น
อาหารที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอและทำให้ไวรัสสามารถเจาะเข้าไปในเซลล์ได้
น้ำตาล -น้ำตาล 1 ช้อนชาทำลายประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว 75% นาน 4 ชั่วโมง
ถั่วเหลือง - ทำให้ขาดแร่ธาตุและทำให้เลือดข้น
เห็ด - เป็นเชื้อราที่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อไวรัส
ยิสต์ - สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อไวรัส
การรับมือกับไวรัสทุกชนิดด้วยวิธีการทางธรรมชาติ
1. เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่เป็นพรีไบโอติกและโพรบริโอติกและเพิ่มความร้อนให้กับร่างกายด้วยวิธีการใดๆก็ได้
2. เพิ่มเม็ดเลือดแดงด้วยการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง (อ่านข้อมูลในหัวข้อธาตุเหล็ก)
3. เพิ่มความแข็งแกร่งของเม็ดเลือดแดงด้วยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง (อ่านข้อมูลในหัวข้อ วิตามินซี)
4. ทำให้ร่างกายเป็นด่าง จากอาหารที่มี โซเดียม แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม
ผลิตภัณฑ์แนะนำเมื่อได้รับเชื้อไวรัส
Glube เพื่อเพิ่มเม็ดเลือดขาว
Whole c เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเม็ดเลือดแดง
น้ำปั่นป๋า เพื่อเพิ่มเม็ดเลือดแดง
Glap เพื่อเพิ่มเม็ดเลือดแดง
K cal เพื่อเพิ่มความเป็นด่าง