คำ ๆ นี้ ได้ก่อความตระหนกตกใจให้ผู้คนเป็นจำนวนมากและกลายเป็นเครื่องมือที่ทำเงินจำนวนมหาศาล...ผู้คนโดนขู่ให้กินยาลดความดัน.... ถ้าไม่กินเดี๋ยวจะเป็นนู่น เดี๋ยวจะเป็นนี่ ...แต่สุดท้ายก็ฟอกไต..!!
คำถามคือ..คุณรู้ที่มาของความดันโลหิตสูงหรือไม่หรือว่ามุ่งรักษาแต่ความดันโลหิต โดยไม่เหลียวแล ต้นเหตุและไม่สนใจต่อผลกระทบอย่างอื่น
ต้นเหตุอาจจะมีมากกว่านี้ แต่นี่คือสิ่งที่ป๋าสามารถรวบรวมจากงานวิจัยต่างๆได้
- White-coat hypertension
เป็นคำที่ใช้สำหรับการอ่านค่าความดันโลหิตสูงที่เกิดจากความเครียดหรือความกลัวที่เกี่ยวข้องการพบแพทย์หรือต้องไปที่โรงพยาบาล
นี่อาจจะเป็นความกังวลชั่วคราวที่ยังไม่ร้ายแรง เป็นภาวะที่เมื่อวัดความดันโลหิตที่บ้านมักจะต่ำกว่า 135/85 มม.ปรอท แต่เมื่อวัดความดันที่โรงพยาบาลมักจะมากกว่า 140/90 มม.ปรอท
ประมาณว่ามีถึงร้อยละ 20 ของคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความดันโลหิตสูงแต่เป็นเพียง"White-coat hypertension" เพียงเพราะพวกเขาประหม่าหรือมีความกังวล
หากคุณมีความดันโลหิตสูงแบบ"White-coat hypertension" คุณต้องกินยาลดความดันโลหิตโดยที่คุณไม่ต้องการจริงๆ หรือ
เมื่อคุณมีความเครียดและความวิตกกังวล :
การใช้กลูโคสของเซลล์ลดลง
ร่างกายลดการสังเคราะห์โปรตีน
ร่างกายจะเพิ่มการสลายโปรตีนซึ่งก่อให้เกิดของเสีย
ลดการส่งแร่ธาตุให้กระดูกซึ่งก่อให้เกิดกระดูกพรุน
เซลล์น้ำเหลืองจะเกาะกลุ่ม
เซลล์เม็ดเลือดขาวตัวกลืนกินสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
กระบวนการเหล่านี้ทำให้หัวใจต้องเร่งส่งเลือดไปยังอวัยวะต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง
เมื่อคุณมีค่าน้ำตาลในเลือดสูงแปลว่า เลือดจะข้น ดังนั้นการเดินทางของน้ำเลือดในหลอดเลือดจะไม่สะดวกและไปแบบหนืดๆ ก็จำเป็นอยู่ดีที่หัวใจต้องเพิ่มแรงดันซึ่งทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ก็ต้องไปแก้ที่เบาหวานเพราะนั่นคือต้นเหตุ
ยังจำกันได้ไหม.... น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม หลอดเลือดจะยาวเพิ่มขึ้นอีก 5 กิโลเมตร เมื่อหลอดเลือดคุณยาวขึ้น หัวใจต้องเพิ่มแรงดันซึ่งร่างกายทำงานถูกต้อง ถ้าเขาไม่เพิ่มแรงดันคุณจะมีปัญหามือเท้าชาแน่นอน คราวนี้คงจะรู้นะว่าต้องแก้ไขความดันโลหิตสูงในลักษณะนี้อย่างไร
-โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้แปรปรวน โรคริดสีดวง โรคลำไส้อักเสบ หรือโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับระบบการย่อยและทางเดินอาหาร
โรคเหล่านี้แปลความได้ว่า กินอาหาร 100 ย่อยได้ 50 ดูดซึมได้ 25 การขาดสารอาหารถึง ร้อยละ 75 ในขณะที่ร่างกายคุณยังต้องการ 100 เหมือนเดิม
ถ้าคุณเป็นหัวใจ คุณจะต้องเพิ่มแรงดันให้ร่างกายคุณไหม
-แก๊สในระบบทางเดินอาหารมากเกินไป
การกินอาหารไม่เป็นไปตามลำดับ จะก่อให้เกิดการหมักหมมของอาหารและก่อให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร แก๊สเหล่านี้จะไปทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวจนไปกดทับหลอดเลือด เมื่อหลอดเลือดโดนกดทับ หัวใจคุณจำเป็นต้องเพิ่มแรงดัน
ร่างกายมนุษย์สุดแสนจะมหัศจรรย์ เมื่อสมดุลของร่างกายเปลี่ยนตำแหน่งหรือแม้แต่ความแข็งแกร่งของกระดูกลดลง ร่างกายจะเพิ่มความแข็งแกร่งของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเพื่อช่วยพยุงร่างกายนี้เอาไว้ แต่การสร้างนั้นจะไปขัดขวางหรือบีบรัดหลอดเลือด คำว่ากีดขวางหลอดเลือด แน่นอนว่าหัวใจต้องทำงานมากขึ้น
-การออกกำลังกายแบบฝึกความอดทน
ทุกครั้งที่คุณใช้กล้ามเนื้อ ร่างกายจะผลิตกรดแลคติก เมื่อกรดนี้อยู่ในกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง กล้ามเนื้อก็จะเกร็งตัวและเป็นตะคริวได้ง่าย เมื่อกล้ามเนื้อเกร็งตัวและบีบรัดหลอดเลือด ร่างกายก็ต้องเพิ่มความดันโลหิต
ในคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่กินหญ้า จะมีปัญหาของการขาดวิตามิน K2 ซึ่งเป็นวิตามินที่จัดการกับแคลเซียมส่วนเกินในที่ต่างๆ รวมถึงหลอดเลือดด้วย ดังนั้นถ้าคุณมีแคลเซียมเกาะในหลอดเลือด หลอดเลือดก็จะตีบลง จำเป็นอยู่เองที่หัวใจต้องเพิ่มความดันโลหิตให้กับร่างกาย
-การบริโภคน้ำตาล น้ำผึ้งและผลไม้ซึ่งเป็นฟรัคโตส
ดังได้เคยอธิบายไว้แล้วว่า สิ่งนี้จะเปลี่ยนไปเป็น
กรดยูริค ซึ่งจะไปทำให้เกิดบาดแผลในที่ต่างๆของร่างกายรวมถึงหลอดเลือด เมื่อหลอดเลือดมีบาดแผล ตับจำเป็นต้องส่งคอเลสเตอรอลมาซ่อมหลอดเลือด ในบางคนซ่อมจนทำให้หลอดเลือดตีบ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ หัวใจต้องเพิ่มแรงดันให้กับร่างกาย
ถ้าคุณดื่ม ก็ต้องยอมรับสภาพความดันโลหิตสูงในขณะนั้นๆ เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของแอลกอฮอล์
-การบริโภคโปรตีนมากเกินไปในแต่ละมื้อ
ขั้นตอนสุดท้ายของการย่อยโปรตีนคือถูกเปลี่ยนไปเป็นแอมโมเนียซึ่งมีสภาวะเป็นแก๊ส แก๊สเหล่านี้ก็จะไปสร้างปัญหาดังที่กล่าวมาด้านบน
ดังนั้นถ้าคุณมีความดันโลหิตสูง ให้ใคร่ครวญดูว่าต้นเหตุของคุณคืออะไรแล้วไปแก้ที่ต้นเหตุ การแก้ที่ปลายเหตุเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลในมุมมองของป๋า
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง