บ่อยครั้งที่ป๋าขอผลการตรวจเลือดและบังคับให้ไปเอามาให้ได้ไม่ว่าจะลำบากยากเย็นแค่ไหนก็ตาม บางรายถูกบอกว่าเป็นความลับทางราชการ...ซึ่งมันไม่จริง บางรายถูกบอกว่าปกติแต่ไม่มีลูกซ๊ากกกที บางรายถูกบอกว่าปกติ..แต่จะตายแหล่มิตายแหล่...และในรายนี้ก็เช่นกัน ดังนั้น...จำจำเป็นต้องเรียนรู้กันบ้าง
โพสต์นี้ จะมาเรียนรู้เฉพาะตัวที่ป๋าวงไว้นะ
1.ค่า Hb
ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) คือส่วนประกอบสำคัญของเลือดที่ขาดไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ความผิดปกติเพียงเล็กน้อย(ย้ำ..!! เพียงเล็กน้อย)ของระดับฮีโมโกลบินในเลือด อาจเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพหลายประการ หากมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับฮีโมโกลบินเพียงพอ จะช่วยให้ตระหนักถึงความเสี่ยงและเตรียมรับมือปัญหาสุขภาพได้อย่างถูกต้อง
ลงลึกอีกหน่อยนะ ...ฮีโมโกลบินคืออะไร
ฮีโมโกลบิน เป็นโมเลกุลโปรตีนภายในเซลล์เม็ดเลือดแดง เกิดจากโมเลกุลโปรตีน 4 ตัวที่เชื่อมต่อกันหรือที่เรียกว่าสายโกลบูลิน (Globulin Chains) โดยปกติโครงสร้างของฮีโมโกลบินในผู้ใหญ่จะประกอบไปด้วยสายโกลบูลินชนิดอัลฟา 2 ตัวและสายโกลบูลินชนิดเบต้า 2 ตัว ส่วนในทารกพบเพียงสายโกลบูลินชนิดอัลฟา 2 ตัวและสายโกลบูลินชนิดแกมมา 2 ตัว ไม่พบสายโกลบูลินชนิดเบต้า แต่เมื่อทารกเริ่มโตขึ้น สายโกลบูลินชนิดแกมมาจะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสายโกลบูลินชนิดเบต้าและกลายเป็นโครงสร้างของฮีโมโกลบินแบบผู้ใหญ่ต่อไป
ทั้งนี้สายโกลบูลินแต่ละตัวไม่เพียงเป็นโครงสร้างสำคัญของฮีโมโกลบินเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยสารในกลุ่มพอฟีรีนที่มีชื่อว่าฮีม (Heme) อันมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารฮีมนี้ทำหน้าที่ดักจับและขนส่งออกซิเจนกับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด
ฮีโมโกลบินที่พบได้ทั่วไปมี 3 ชนิด ได้แก่
- ฮีโมโกลบิน เอ (Hemoglobin A) เป็นฮีโมโกลบินชนิดที่พบได้มากที่สุดในวัยผู้ใหญ่ แต่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางชนิดเช่น โรคธาลัสซีเมียขั้นรุนแรง อาจมีระดับฮีโมโกลบินชนิดนี้ลดลงได้
- ฮีโมโกลบิน เอฟ (Hemoglobin F) พบในทารกที่อยู่ในครรภ์และเด็กแรกเกิด ซึ่งฮีโมโกลบินชนิดนี้จะถูกแทนที่ด้วยฮีโมโกลบิน เอ ภายในไม่นานหลังจากเกิด จากนั้นร่างกายจะผลิตฮีโมโกลบิน เอฟออกมาในปริมาณน้อยมาก แต่หากป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงเป็นรูปเคียว โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวอาจพบฮีโมโกลบินชนิดนี้ในปริมาณสูงได้
- ฮีโมโกลบิน เอ2 (Hemoglobin A2) เป็นฮีโมโกลบินที่พบในผู้ใหญ่แต่มีปริมาณเพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ ยังมีฮีโมโกลบินชนิดที่ผิดปกติอีกกว่า 350 ชนิด ซึ่งอาจพบในผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบเลือดหรือคนบางกลุ่มชาติพันธุ์โดยชนิดที่พบได้บ่อยคือ
-ฮีโมโกลบิน เอส (Hemoglobin S) พบในผู้ป่วยโรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงเป็นรูปเคียว
-ฮีโมโกลบิน ดี (Hemoglobin D) พบในผู้ป่วยโรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงเป็นรูปเคียวบางราย
-ฮีโมโกลบิน ซี (Hemoglobin C) พบในผู้ป่วยที่มีภาวะฮีโมโกลบินดักจับออกซิเจนได้ไม่ดีเพียงพอ
-ฮีโมโกลบิน อี (Hemoglobin E) อาจพบได้ในคนที่สืบเชื้อสายจากชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ ฮีโมโกลบิน เอส และฮีโมโกลบิน ซี เป็นฮีโมโกลบินชนิดผิดปกติที่ตรวจพบได้บ่อยที่สุด
ฮีโมโกลบินมีหน้าที่อย่างไร
หน้าที่สำคัญของฮีโมโกลบินคือการลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเนื้อเยื่อกลับมายังปอด ทั้งยังช่วยรักษารูปร่างของเม็ดเลือดแดงให้เป็นปกติ คือมีลักษณะเป็นวงกลมและตรงกลางเว้าคล้ายโดนัท...แต่ไม่เป็นรู หากโครงสร้างของฮีโมโกลบินผิดปกติจะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างต่างไปจากเดิมและอาจขัดขวางการไหลเวียนของเลือดได้
2.HCT หรือ Hct (เฮมาโตคริต) หรือความเข้มข้นของเลือดเป็นการตรวจเพื่อหาปริมาตรเม็ดเลือดแดงในเลือด มักเรียกทับศัพท์ว่า haematocrit หรือ hematocrit หรือปริมาตรเซลล์อัดแน่น (packed cell volume, PCV) หรือเข้าใจกันง่ายๆ ก็คือเป็นการวัดว่าร่างกายมีเม็ดเลือดแดงพอหรือไม่ หากไม่พอก็เกิดภาวะโลหิตจาง
ทำไมจึงต้องตรวจความเข้มของเลือด
การตรวจความเข้มข้นของเลือดเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ความผิดปกติที่พบมีได้ทั้งมากเกินไปและน้อยเกินไป ค่าเข้มข้นของเลือดไม่ได้บอกสาเหตุของโรคแต่บอกปริมาณของเม็ดเลือดแดง
...น้อยเกินไป...
สาเหตุ
-เกิดจากร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยจากอาหารที่รับประทานหรืออาหารที่สกัดกั้นการสร้างเม็ดเลือดแดงอาทิ ถั่วเหลือง เต้าหู้ เป็นต้น
-เกิดโรคที่ทำให้บวม เช่นโรคตับแข็ง (cirrhosis) โรค Nephrotic syndrome เกิดการเจือจางเม็ดเลือดแดงทำให้ค่า Hct ต่ำลง
-เกิดการเสียเลือดค่อนข้างมากจากเหตุใดเหตุหนึ่งเช่น ริดสีดวงทวาร มีพยาธิปากขอในลำไส้ เลือดออกทางเดินอาหารหรือตกเลือด
-เกิดจากการขาดวิตามินเช่น วิตามินบี 12 กรดฟอลิก หรือธาตุเหล็ก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดแดงได้ในขนาดที่เล็กลงหรือได้จำนวนน้อยลง ซึ่งย่อมมีผลโดยตรงทำให้ค่า Hct ต่ำลงกว่าปกติ
-เป็นโรคไขกระดูกมีความผิดปกติ (bone marrow failure) เช่นการติดเชื้อ จากยาหรือเนื้องอก ทำให้สร้างเม็ดเลือดแดงหรือเซลล์ชนิดอื่นๆลดลง
-โรคไตวายเรื้อรัง ทำให้ไตผลิตฮอร์โมนสร้างเม็ดเลือดแดง (erythropoietin) ลดลงซึ่งทำให้ไขกระดูกได้รับการกระตุ้นลดลงดังนั้นความเข้มข้นของเลือดจึงลดลง
-เกิดจากการตั้งครรภ์ เนื่องจากการตั้งครรภ์ย่อมสร้างสภาวะการกักคั่งน้ำ (state of overhydration) จึงย่อมมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงลดความหนาแน่นลง ค่า Hct จึงต่ำลง ขณะกำลังตั้งครรภ์ร่างกายจะมีสภาวะบวมน้ำเล็กน้อยซึ่งจะมีผลทำให้เกิดสภาวะเลือดเจือจางลง (hemodilution)
-อาจมีโรคร้ายเกี่ยวกับไขกระดูกเช่น lymphoma, multiple myeloma, leukemia หรือ Hodgkin's disease
-โรคภูมิทำลายตัวเอง Autoimmune diseases เช่น lupus erythematosus or rheumatoid arthritis
-โรคที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกเช่น G-6 PD
-โรคมะเร็งเม็ดเลือด
-การกินยาบางชนิดก็อาจมีผลให้ค่า Hct ต่ำลงได้เช่น ยาปฏิชีวนะ chloramphenicol หรือ penicillin
...มากเกินไป...
สาเหตุ
-เกิดสภาวะการสร้างเม็ดเลือดแดงมาก (erythrocytosis) เช่น การขึ้นไปอยู่ในที่สูงซึ่งมีออกซิเจนเบาบาง ร่างกายต้องเร่งสร้างเม็ดเลือดแดงขึ้นมาให้มากกว่าปกติ ในการนี้ย่อมอาจทำให้เม็ดเลือดแดงที่ผลิตไว้แล้วคับคั่งเกินความจำเป็น
-ผู้ที่เป็นโรคหัวใจมาแต่กำเนิด (congenital heart disease) ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงให้มีจำนวนมากขึ้นเพื่อส่งออกซิเจนให้แก่กล้ามเนื้อหัวใจและอวัยวะต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเพียง
-โรคเม็ดเลือดแดงมากเกิน (polycythemia vera) ซึ่งเป็นโรคที่ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงมาก
-เกิดจากการขาดน้ำ Dehydration อย่างรุนแรง เช่น เกิดอาการถ่ายท้องอย่างรุนแรง ถูกไฟลวกอย่างรุนแรง ฯลฯ
-โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease, COPD) ร่างกายต้องสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มเพื่อชดเชยภาวะขาดออกซิเจนจากโรคปอดเรื้อรัง
-ขนาดของเม็ดเลือดแดงที่ใหญ่กว่าปกติ ก็จะทำให้ Hct ต่ำอันเป็นผลจากการคำนวณสูงเกินความจริงไปด้วย
ในกรณีที่เซลล์เม็ดเลือดขาวมีจำนวนสูงเกินปกติมากจะมีผลในขณะปั่นเลือดด้วยแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง อาจทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวปะปนกับเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ดูเหมือนว่าเม็ดเลือดแดงมากขึ้นโดยเหตุนี้ย่อมทำให้ Hct สูงขึ้นด้วย
-โรคไตที่มีการสร้าง erythropoietin เพิ่มขึ้น
3.MCH (Mean corpuscular hemoglobin) หมายถึงค่าเฉลี่ยน้ำหนักของฮีโมโกลบิน (Hb)ในเซลล์เม็ดเลือดแดง 1 เซลล์
การคำนวนค่า MCH
การคำนวนค่า MCHC และ MCH จะคำนวนจากค่า hemoglobin (Hgb), hematocrit (Hct), และจำนวนเม็ดเลือดแดง RBC count:
MCH = Hgb/RBC count
การนำค่า MCH มาใช้
หากตรวจค่า Hematocrit แล้วพบว่ามีโลหิตจาง เราจะมาดูค่า MCH หากน้อยกว่าปกติเรียกว่า hypochromic
MCH น้อยกว่าค่าปกติ: hypochromic anemia
MCH อยู่ในช่วงปกติ: normochromic anemia
MCH มากกว่าค่าปกติ: hyperchromic anemia
ค่า MCH สูงเกินไป แสดงว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่(MCV มีขนาดใหญ่) เนื่องจากมีปริมาณฮีโมโกลบินในเซลล์มากหรือโรคโลหิตจางที่ขาดวิตามินบี12
ค่า MCH ต่ำเกินไป แสดงว่ามีความผิดปกติของฮีโมโกลบิน เช่นโรคThalassemiaโรคโลหิตจางที่ขาดธาตุเหล็ก
4.MCHC (Mean Corpuscular Hemoglobin Concentration) เป็นค่าเฉลี่ยของความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ค่า MCHC นี้สามารถต่ำ ปกติ และสูงได้แม้ว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของคุณจะปกติ
อาการ
ผู้ที่มีค่า MCHC ต่ำมักเกี่ยวข้องกับภาวะซีดและ
อ่อนเพลียและไม่มีแรงเรื้อรัง
หายใจลำบาก
ช้ำง่าย
เวียนหัว
อ่อนแรง
ผู้ที่มีระดับ MCHC ต่ำเล็กน้อยหรือเพิ่งต่ำนั้นอาจจะไม่มีอาการอะไรเลย
สาเหตุ
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ค่า MCHC ต่ำก็คือภาวะซีด โดยภาวะซีดชนิดที่เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กและสีจางนั้นมักจะทำให้ค่า MCHC ต่ำและเกิดได้จาก
-การขาดธาตุเหล็ก
-การที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้เช่นจากการเป็นโรคเซลิแอค
Crohn’s disease และการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
-การมีเลือดออกในปริมาณเล็กน้อยเป็นเวลานานซึ่งอาจเกิดจากการมีประจำเดือนนานหรือมีแผลในกระเพาะอาหาร
-ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัวก่อนเวลา
กรณีพบได้น้อย การมี MCHC ต่ำและภาวะซีดลักษณะนี้นั้นสามารถเกิดได้จาก
มะเร็งซึ่งรวมถึงมะเร็งที่ทำให้มีเลือดออกภายใน
การติดเชื้อปรสิตเช่นพยาธิปากขอ
การได้รับสารพิษจากตะกั่ว
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง