BELIEVE THE TRUTH
ตอน B1
ถ้าขณะนี้ท่านได้รับยา Digoxin,Diuretics (ยาขับปัสสาวะ),Phenytoin(Dilantin) และติดสุรา....กรุณาอ่านให้จบนะครับ ...!!!!
ร่างกายมนุษย์ต้องการวิตามินที่แตกต่างกัน 13 ชนิดเพื่อการเจริญเติบโตและทำงานได้ดี หนึ่งในกลุ่มที่สำคัญที่สุดของวิตามินที่ช่วยสนับสนุนจุดประสงค์นี้คือวิตามิน B ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 8 ตัวได้แก่ B1 B2 B3 B5 B6 B7 B9 และ B12(1)
วิตามิน B มีความสำคัญเนื่องจากพวกเขาช่วยในการทำงานด้านความรู้ความเข้าใจ ระบบประสาทและสุขภาพสมองรวมถึงการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง แต่อย่างไรก็ตามวิตามิน B1 มีบทบาทเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวันของคุณ (2)
Mayo Clinic ได้กล่าวไว้ว่า Thiamine (B1) สนับสนุนงานที่สำคัญเช่นการไหลของอิเล็กโทรไลท์ให้เข้าและออกจากเส้นประสาทและเซลล์กล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่พบในอาหาร (3) โดยพื้นฐานแล้วจะช่วยแปลงอาหารที่คุณกินไปเป็นพลังงานที่มีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับสมองและระบบประสาท (4) และจะอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการทำงานของพวกเขา :
Thiamine hydrochloride: โครงสร้างเกลือของวิตามินB1 (5)
Thiamine pyrophosphate: รูปแบบที่ใช้งานทางชีวภาพซึ่งร่างกายของคุณดูดซึมได้ (6)
Thiamine mononitrate: เป็นชนิดที่ใช้ทั่วไปในอาหารเสริม (7)
แหล่งที่มาของ Thiamine มีมากมายและหลากหลาย
ข้อดีของ thiamine คือสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายชนิดรวมถึง เนื้อสัตว์กินหญ้า
ถั่ว ผลไม้และผัก คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : อ้างอิง 8,9,10,11
-หน่อไม้ฝรั่ง (สุก)
-เมล็ดทานตะวัน
-ถั่วเขียว
-เมล็ดแฟลกซ์
-กะหล่ำปลี
-ผักขม
-มะเขือ
-ถั่วแดง
-เนื้อสัตว์กินหญ้า
-มะคาเดเมียและถั่วพิสตาชิโอ
-ปลาแซลมอน
-พริกหวาน
-กระเทียม
-แตงโม
ในขณะที่ถั่วมี thiamine มากมายแต่พวกเขายังมีเลคติน (lectins)ซึ่งเป็นโปรตีนที่จับกับน้ำตาลซึ่งสามารถนำไปสู่โรคลำไส้รั่วได้โดยการยึดติดกับเซลล์เยื่อเมือกในลำไส้ของคุณ เป็นผลให้สารอาหารในมื้ออาหารของคุณจะไม่ถูกดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันตัวเองจาก
เลคตินผมขอแนะนำให้ทำตามขั้นตอนนี้:
แช่ถั่วในน้ำอย่างน้อย 12 ชั่วโมงก่อนปรุงอาหาร และการเพิ่มเบคกิ้งโซดาลงในน้ำที่แช่จะช่วยเพิ่มการกำจัดเลคตินได้ดียิ่งขึ้น..จากนั้นทิ้งน้ำที่ใช้แช่และล้างถั่วให้สะอาด
ปรุงอาหารเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาทีในความร้อนสูงเนื่องจากความร้อนที่ต่ำมากสามารถเพิ่มระดับความเป็นพิษได้ถึงห้าเท่าหรือมากกว่า
เพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้ประโยชน์ของ Thiamine ..อย่ากินปลาดิบและหอยสดเนื่องจากมีสารเคมีที่สามารถทำลายวิตามินได้ แต่อย่างไรก็ตามอาหารทะเลที่ปรุงสุก สารอาหารของพวกเขาก็ไม่ได้ถูกทำลายไป
นอกจากนี้หากท่านนิยมดื่มชาและกาแฟก็ควรดื่มในระดับที่น้อยถึงปานกลางเนื่องจากแทนนิน ( tannins )ในพวกเขาสามารถตอบสนองต่อ thiamine และทำให้ร่างกายของคุณดูดซับได้ยากขึ้น (12)
การศึกษาแสดงให้เห็นว่า Thiamine อาจช่วยรักษาโรคบางชนิดและเติมเต็มความบกพร่องได้
Thiamine เป็นสารอาหารที่จำเป็นซึ่งต้องบริโภคทุกวันเพื่อช่วยรักษาหน้าที่ทางชีวภาพที่เหมาะสม การวิจัยพบว่า Thiamine อาจช่วยแก้ปัญหาบางอย่างเช่น:
-ท้องผูก
ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกอาจได้รับประโยชน์จากการเพิ่มระดับ Thiamine เนื่องจากการขาดวิตามินนี้ การย่อยอาหารของคุณจะช้าลง (13)
-การเลิกแอลกอฮอล์
ผู้ติดสุรามักจะขาดวิตามิน B1 และหากไม่ได้รับการรักษาก็อาจทำให้เกิดโรค Wernicke’s encephalopathy : โรคทางระบบประสาทที่อาจเกิดขึ้นจากการเสพแอลกอฮอล์เรื้อรัง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากแอลกอฮอล์ การกู้คืนผู้ติดสุรามักจะใช้ Thiamine โดยการฉีดผ่านทางหลอดเลือดดำหรือทางปาก (14)
-ความผิดปกติของความรู้ความเข้าใจ
Thiamine อาจช่วยรักษาอารมณ์และการทำงานของสมองที่เหมาะสม จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Psychopharmacology นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ได้รับ thiamine 50 มิลลิกรัมในแต่ละวันเป็นเวลาสองเดือน จะมีความปลอดโปร่ง มีชีวิตชีวา มีพลัง และมีปฏิกิริยาในการตอบสนองที่ดีขึ้นเช่นกัน (15)
Beriberi : โรคเหน็บชา
Beriberi เป็นภาวะแทรกซ้อนเฉพาะที่ซึ่งเกิดจากการขาด thiamine และบางครั้งก็เกี่ยวข้องกับWernicke-Korsakoff syndrome : ภาวะทางสมองจากการขาดวิตามินบี 1
อาหารเสริม Thiamine อาจช่วยบรรเทาโรคนี้ได้ แต่ผู้ที่กำลังประสบกับอาการที่ร้ายแรงอาจต้องได้รับการรักษาทางเส้นเลือดดำเพื่อบรรเทาทุกข์ทันที (16)
-ความเสียหายของเซลล์ไขมัน
การวิจัยแสดงให้เห็นว่า Thiamine ช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากความเสียหายโดยการยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของไขมันและการออกซิเดชันของอนุมูลอิสระ (17)
-โรคเบาหวานประเภท 2
หนึ่งการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจได้รับประโยชน์จาก Thiamine โดยช่วยปรับปรุงการทำงานของ endothelial และการไหลเวียนของเซลล์ต้นกำเนิด endothelial (18)
ในการศึกษาอื่นพบว่า Thiamine ช่วยป้องกันการก่อตัวของผลพลอยได้ที่เป็นอันตรายซึ่งสร้างขึ้นโดยการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสในผู้ป่วยโรคเบาหวาน (19)
-โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือโรคเอมเอส MS
การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน BMJ Case Reports : Thiamine ได้รับรายงานว่าช่วยลดความเมื่อยล้าในคนที่เป็นโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อมได้อย่างมาก แม้ว่าระดับ Thiamine ของผู้ป่วยจะอยู่ในระดับปกติ แต่การให้ในปริมาณสูงมีผลในเชิงบวก (20)
-โรคตับอักเสบบี
จากการวิเคราะห์ที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Gastroenterology: การใช้ Thiamine อย่างต่อเนื่องจะลดระดับ aminotransferase และจะมีการลดลงของไวรัสตับอักเสบบีในระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้ (21)
การขาด Thiamine อาจมีผลต่อสุขภาพของคุณเป็นอย่างมาก
การขาด Thiamine รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นโรคเหน็บชา (beriberi) คือการขาด thiamine pyrophosphate รูปแบบที่ใช้ได้งานของวิตามิน B1 ในร่างกายของคุณ (22) ความผิดปกติเกิดขึ้นได้น้อยในหมู่คนที่มีสุขภาพดีเพราะวิตามินมีอยู่ในอาหารหลายชนิด แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากถ้าคุณ: (23)
-ติดการดื่มแอลกอฮอล์
-กินข้าวขาวเป็นจำนวนมาก
-เป็นโรคโครห์น (Crohn's Disease) : ความผิดปกติเรื้อรังของลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดการระคายเคืองและทางเดินอาหารบวม ซึ่งโรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel diseases หรือ IBD)
-กำลังอยู่ในระหว่างการฟอกไต
-มีอาการเบื่ออาหาร
อาการของโรคเหน็บชาส่วนใหญ่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าส่วนใดของร่างกายของคุณจะได้รับผลกระทบ นี่เป็นตัวบ่งชี้หลายอย่างที่คุณต้องระวัง – แนะนำให้ไปพบแพทย์ของคุณทันทีหากคุณประสบปัญหาต่อไปนี้ : (24)
ความจำไม่ดี หงุดหงิดง่าย การนอนหลับถูกรบกวน ความเจ็บปวดเหมือนมีการเผาไหม้
ปวดกล้ามเนื้อร่วมกับอาการคลื่นไส้ เท้าตก ข้อเข่าและข้อเท้าหลวม สับสน เดินเซ มองภาพไม่ชัด (25) และ Korsakoff syndrome : จดจำเหตุการณ์ไม่ได้ (26)
หากการขาด Thiamine มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดของคุณ คุณอาจมีอาการเจ็บหน้าอก ความดันชีพจรกว้าง (ค่าความดันตัวบนห่างจากตัวล่างมาก)หัวใจวาย ช็อกและมีภาวะหัวใจเต้นเร็วที่มีจังหวะสม่ำเสมอ
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ อาการเบื่ออาหาร ไม่สบายท้อง ท้องผูกและกลืนลำบาก (27) ในกรณีเหล่านี้คุณอาจสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้โดยการบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบีหรือโดยการรับประทานอาหารเสริมที่มีคุณภาพสูง
ปริมาณที่เหมาะสมของ Thiamine และผลข้างเคียงที่เป็นไปได้
อาหารเสริม Thiamine ทางช่องปากโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยเมื่อใช้ปริมาณที่แนะนำเป็นประจำทุกวันและไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยาก่อนสั่งซื้อแต่ Thiamine ที่ใช้สำหรับฉีด (สำหรับกรณีที่รุนแรงมากขึ้น)ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (28)
ในฐานะที่เป็นอาหารเสริม ปริมาณจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอายุและเพศ คุณอาจดูตารางด้านล่างเพื่อให้คุณทราบว่าคุณควรทำอย่างไร: (29)
ทารก (ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน) 0.2 mg
ทารก (7 ถึง 12 เดือน) 0.3 mg
เด็กวัยหัดเดิน (1 ถึง 3 ปี) 0.5 mg
เด็ก (4-8 ปี) 0.6 mg
เด็กหนุ่ม (9 ถึง 13 ปี) 0.9 mg
ชายหนุ่ม (อายุ 14 ปีขึ้นไป) 1.2 mg
หญิงสาว (14 ถึง 18 ปี) 1 mg
หญิงวัยผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) 1.1 mg
หญิงตั้งครรภ์ 1.4 mg
ผู้หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนม 1.5 mg
ผู้ใหญ่ (โดยทั่วไป) 1 ถึง 2 mg
แม้ว่า Thiamine อาจมีผลด้านการรักษาที่อาจช่วยรักษาสภาพบางอย่างได้ แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่างและบางส่วนมีความร้ายแรง ตัวบ่งชี้หลายตัวที่ควรระวังได้แก่ : (30)
-ริมฝีปากเป็นสีฟ้า
-ปวดทรวงอกร่วมกับหายใจถี่
-อุจจาระดำ
-ไอมีเลือดหรืออาเจียนที่ดูเหมือนกาแฟ
-คลื่นไส้
-เหงื่อออกมาก
-ร้อนรนอยู่ไม่สุข
-ผื่นเล็กน้อยหรือมีอาการคัน
-มีก้อนแข็งบนผิวหนัง (ถ้าฉีด)
หากผลข้างเคียงใด ๆ ข้างต้นปรากฏขึ้น ให้ติดต่อแพทย์ทันทีเพื่อขอรับการรักษา อีกสิ่งหนึ่งที่คุณควรคำนึงถึงคือความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ในการผสมรวม Thiamine กับยาบางอย่าง:
-Digoxin: ยานี้มักใช้ในการรักษาภาวะหัวใจ แต่อาจลดความสามารถของเซลล์หัวใจในการดูดซับและใช้ Thiamine
-ยาขับปัสสาวะ (Diuretics): ยาประเภทนี้จะลดระดับ Thiamine ในร่างกายของคุณ หากคุณกำลังใช้ยาขับปัสสาวะเพื่อรักษาสภาพบางอย่าง ให้ถามแพทย์ของคุณว่าควรตรวจสอบระดับ Thiamine หรือไม่
-Phenytoin (Dilantin): มักใช้สำหรับอาการชักเนื่องจากมี (32) phenytoin อาจทำให้ระดับ Thiamine ของคุณลดลงซึ่งอาจทำให้ผลข้างเคียงของยารุนแรงขึ้นได้
อาหารเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ Thiamine แต่การเสริมอาจเป็นประโยชน์ในบางกรณี
ถ้าคุณต้องการเพิ่มระดับ Thiamine ของคุณ การบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณเพราะนอกเหนือจากการได้รับ Thiamine ที่ประโยชน์แล้วยังมีสารอาหารอื่น ๆ อาทิ เส้นใยและสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยสนับสนุนความเป็นอยู่โดยรวมของคุณอีกด้วย
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
อ้างอิง :
1, 2 One Green Planet, “The Importance of B Vitamins for Your Health and the Best Plant-Based Sources to Eat” November 3, 2014
3 Alcohol and Alcoholism, 2005 March 1;40(2):155-156
4 The New York Times, “Thiamin”
5 PubChem, “Thiamine Hydrochloride”
6 Medscape, “Beriberi (Thiamine Deficiency)” March 2, 2017
7, 9, 35 National Institutes of Health, “Thiamin”
8 Dietitians of Canada, “Food Sources of Thiamin (Vitamin B1)” November 7, 2016
10 Live Science, “What Is Thiamine (Vitamin B1)?” August 1, 2015
11 The World’s Healthiest Foods, “Vitamin B1 — Thiamin”
12, 29 MedlinePlus, “Thiamine (Vitamin B1)”
13 Healthline, “5 Vitamins That Can Relieve Constipation”
14 eMedicineHealth, “Alcoholism”
15 Psychopharmacology, 1997 Jan;129(1):66-71
16 Healthline, “Beriberi”
17 Bulletin of Experimental Biology and Medicine, 2000 Sep;130(9):874-6
18 Molecular Nutrition & Food Research, 2008 Dec;52(12):1421-7
19 International Journal of Clinical Practice, 2011 June;65(6):684-90
20 BMJ Case Reports, 2013 July;2013
21 The American Journal of Gastroenterology, 2001 March;96(3):864-8
22 Medscape, “Beriberi (Thiamine Deficiency)” March 2, 2017
23 MSD Manual, “Thiamin”
24, 27 Medscape, “Beriberi (Thiamine Deficiency) Clinical Presentation” March 2, 2017
25 MSD Manual, “Wernicke Encephalopathy”
26 MSD Manual, “Korsakoff Psychosis”
28, 30 Everyday Health, “What Is Thiamine (Vitamin B1)?”
31, 36 University of Maryland Medical Center, “Vitamin B1 (Thiamine)”
32 Healthline, “Phenytoin, Oral Capsule”
33 Mayo Clinic, “Thiamine (Vitamin B1) — Evidence”
34 Healthline, “Alcohol Withdrawal Syndrome