การวิจัยใหม่ ๆ กำลังมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกันระหว่างวิตามิน K (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน K2) และวิตามิน D3 ในด้านความแข็งแรงของกระดูกและสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด แต่ก่อนที่จะอธิบายเกี่ยวกับอิทธิพลของวิตามินแต่ละชนิดเหล่านี้ ลองทบทวนกันเล็กน้อยเกี่ยวกับวิตามิน D และ K และบทบาทของพวกเขา..
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อธิบายถึงอัตราที่สูงของโรคเรื้อรังในปัจจุบันนอกเหนือจากอาหารที่ไม่ดีและการดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว การขาดวิตามิน D คาดว่าน่าจะเป็นร้อยละ 40 ของผู้ป่วยทั้งหลายมีระดับวิตามิน D ไม่เพียงพอ
แต่ก็มีเรื่องน่าเศร้าเมื่อ Institute of Medicine's (IOM) Food and Nutrition Board (FNB) ได้เผยแพร่คำแนะนำที่ปรับปรุงใหม่สำหรับวิตามิน D (2) (และแคลเซียม) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2010 มันทำให้เกิดความตระหนกตกใจต่อผู้ที่รักและดำเดินชีวิตในแบบสุขภาพตามธรรมชาติ
ตามที่ระบุโดย IOM : คำแนะนำใหม่ (RDA) (3) สำหรับสตรีมีครรภ์และผู้ใหญ่อายุไม่เกิน 70 ปีมีค่าเท่ากับเด็กทารกและเด็กเล็กคือ 600 IU และแม้ว่าจะมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าวิตามิน D เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสุขภาพที่หลากหลายนอกเหนือจากสุขภาพของกระดูกแต่ในความเป็นจริงผู้คนส่วนใหญ่ต้องการมากกว่าค่าที่ระบุไว้ถึง 10 เท่าหรือมากกว่า
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดอ่านบทความเกี่ยวกับคำแนะนำใหม่ ๆ ของวิตามินดีของ IOM รวมถึงข้อกังวลที่ Dr. Cannell พบจาก Vitamin D และ Carole Baggerly ผู้ก่อตั้ง GrassrootsHealth ได้ในอ้างอิง (4) ………………………………………………………………… วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มระดับวิตามิน D ในความคิดของผม:
สัมผัสกับแสงแดดตามธรรมชาติ วิตามินดีจากแสงแดดทำหน้าที่เป็นโปรฮอร์โมนช่วยให้ผิวของคุณเปลี่ยนไปเป็น 25-hydroxyvitamin D หรือวิตามิน D3 ได้อย่างรวดเร็ว ..รับประทานวิตามิน D3 เสริมเมื่อใดก็ตามที่แสงแดดไม่เอื้ออำนวยอย่างผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียเป็นต้น
ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับวิตามิน K
วิตามิน K มีความสำคัญสำหรับคุณเช่นเดียวกับวิตามิน D เนื่องจากการวิจัยยังคงแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นเพื่อสุขภาพของคุณ วิตามิน K อาจเป็นสิ่งที่วิตามินดีเคยเป็นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อคำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่มีประโยชน์แบบมากกว่าที่คิดไว้
!!... คุณสามารถคิดถึงวิตามิน D ในฐานะที่เป็นยามเฝ้าประตู-คอยควบคุมผู้ที่ผ่านเข้ามาบริเวณผนังลำไส้และวิตามิน K ในฐานะตำรวจจราจร-คอยกำกับเส้นทางให้ไปยังสถานที่ ๆ ต้องการ..!!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง..ปราศจากความช่วยเหลือของวิตามิน K2 แคลเซียมที่วิตามิน D ของคุณพยายามนำเข้าไปอย่างมีประสิทธิภาพกลับกลายเป็นทำร้ายคุณโดยการสร้างปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบมากกว่าการสร้างกระดูกของคุณและยิ่งไปกว่านั้น..การที่แคลเซียมจะเข้าสู่เมทริกซ์กระดูกของคุณได้ก็ยังต้องจับกับกรดอะมิโนที่คอยวิ่งเข้า วิ่งออกจากกระดูกเพื่อทำหน้าที่นี้...ดังนั้นถ้าคุณขาดโปรตีนหรือย่อยโปรตีนไม่ได้...นั่นหมายถึงกระดูกคุณจะมีสุขภาพที่ดีไม่ได้..ใช่หรือไม่..!!
มีหลักฐานว่าความปลอดภัยของวิตามินดีขึ้นอยู่กับจำนวนของวิตามิน K และความเป็นพิษของวิตามิน D (แม้ว่าจะมีน้อยมากในรูปแบบ D3) เกิดจากการขาดวิตามิน K2 (5)..ย้ำอีกครั้ง!! ถ้าคุณอาศัยอยู่ในประเทศที่มีแดดตลอดทั้งปี การเสริมแคลเซียมร่วมกับวิตามิน D ทางช่องปากอาจทำให้เกิดภาวะวิตามินดีเป็นพิษได้และผลที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือ นิ่วในไต
วิตามิน D ได้รับการค้นพบว่าปกป้องหัวใจของคุณ การศึกษาในประเทศเนเธอร์แลนด์แสดงหลักฐานที่น่าสนใจว่าสถานะวิตามินดีในระดับสูงมีความสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตที่ดีขึ้นในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว หากคุณกำลังจะใช้แคลเซียม คุณจำเป็นต้องมีสมดุลของวิตามิน D และวิตามิน K เป็นอย่างน้อยที่สุด และสิ่งสำคัญคือคุณจะต้องได้รับแมกนีเซียม ซิลิกา กรดไขมันโอเมก้า 3 กรดอะมิโนและการออกกำลังกายที่มากพอซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพกระดูกของคุณ
จะเป็นการดีกว่ามากในการสร้างกระดูกโดยใช้การออกกำลังกายและการบำบัดทางโภชนาการ ฮอร์โมน progesterone ตามธรรมชาติอย่างเมล็ดฟักทอง วิตามิน D โดยการอาบแดดและวิตามิน K จากอาหารหรืออาหารเสริม
การได้รับวิตามิน D และ K ที่เพียงพอต่อร่างกายของคุณจะทำงานร่วมกันเพื่อให้ความช่วยเหลือแคลเซียมได้ไปยังที่ๆจำเป็นในขณะที่ป้องกันไม่ให้สะสมในพื้นที่ๆไม่ควร
กระดูกของคุณประกอบด้วยแร่ธาตุอย่างน้อย 12 ชนิด แต่ถ้าคุณมุ่งเน้นไปที่แคลเซียม..คุณอาจจะทำให้กระดูกของคุณอ่อนลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้เช่นเดียวกัน Dr. Robert Thompson อธิบายไว้ในหนังสือ The Calcium Lie(11) ร่างกายของคุณสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างถูกต้องหากแคลเซียมที่ได้มาจากพืช แหล่งที่ดี ได้แก่ ผักใบเขียว กระดูกสัตว์ แต่คุณยังต้องการแหล่งของซิลิกาและแมกนีเซียมซึ่งนักวิจัยบางคนกล่าวว่า จริงๆแล้วร่างกายของคุณสามารถใช้เอ็นไซม์เปลี่ยนซิลิก้าไปเป็นชนิดของแคลเซียมที่กระดูกของคุณสามารถใช้ได้ ทฤษฎีนี้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Louis Kevran(12) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งใช้เวลาหลายปีศึกษาว่าซิลิกาและแคลเซียมเกี่ยวข้องกันอย่างไร
อ้างอิง : 1 Science 2.0 May 6 2008 2 Institute of Medicine Nov 30 2010 3 Institute of Medicine Nov 30 2010 4 GrassrootsHealth Website 5 Weston Price Foundation, Vitamin K2 6 NutraIngredients.com, August 4, 2010 7 Nutrition, October 2001;17(10):880-7 8 British Medical Journal, July 2010;341:c3691 9 Live in the Now, The New Essential Bone Health Nutrient You Might Be Missing 10 Steinerbooks.org 11 Amazon.com, The Calcium Lie 12 Amazon.com, Biological Transmutations