ทางเลือกที่ไม่ต้องใช้...แอสไพริน

6 ปีที่ผ่านมา

โดย เจ้าของร้าน

BELIEVE THE TRUTH

ทางเลือกที่ไม่ต้องใช้...แอสไพริน

แอสไพรินเชื่อมโยงกับโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม(Macular degeneration)

โรคจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากอายุ : Age-Related Macular Degeneration (AMD) คือการเสื่อมสภาพของ macula (บริเวณที่อยู่ในตาของคุณซึ่งควบคุมการมองเห็นเฉียบพลัน) ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่ออายุของคุณมากขึ้น

AMD เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาบอดในหลายประเทศเนื่องจากมันสามารถทำลายวิสัยทัศน์ของคุณซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอ่าน การขับขี่และการทำงานประจำวันอื่น ๆ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเสื่อมอย่างถาวรสำหรับการมองเห็นระยะใกล้ในผู้ที่มีอายุ 65 ขึ้นไป

ปัจจัยการดำเนินชีวิตบางอย่างเช่นการสูบบุหรี่ช่วยเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค AMD ในขณะที่การออกกำลังกาย การรักษาความดันโลหิตให้ปกติและการกินอาหารเพื่อสุขภาพอาจช่วยป้องกันได้

ในแง่ของข้อมูลเพิ่มเติมด้านการวิจัยที่เกิดขึ้นใหม่ชี้ให้เห็นว่า แอสตาแซนธิน (astaxanthin) อาจเป็นอาหารเสริมที่ดีที่สุดสำหรับการป้องกันและรักษาโรค AMD และเมื่อกล่าวถึงการป้องกัน การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงนับว่าเป็นเรื่องที่ชาญฉลาดและนักวิจัยได้ค้นพบปัจจัยอื่นที่มีศักยภาพซึ่งไม่เพียงแค่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็น AMD เท่านั้นแต่ยังมีในรูปแบบอื่นๆที่รุนแรงที่สุดอีกด้วย ที่รู้จักกันในชื่อว่า neovascular macular degeneration (การเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทที่จอตา)และมันเกิดจากการใช้ยา “แอสไพริน”

แอสไพรินเองนอกจากจะใช้บรรเทาอาการปวดที่ใช้กันบ่อยแต่บางครั้งก็มีการกำหนดให้ใช้เป็นประจำเพื่อป้องกันโรคหัวใจ แอสไพรินมักถูกนำเสนอว่า "ปลอดภัย" แม้จะมีรายการของผลข้างเคียงที่ร้ายแรงและยาวเหยียด (1)

ในการศึกษาล่าสุด นักวิจัยพบว่าการใช้แอสไพรินเป็นประจำซึ่งกำหนดไว้ที่สัปดาห์ละ 2 ครั้งๆละนานกว่า 3 เดือนเป็นเวลา 10 ปีทำให้ผู้เข้าร่วมมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคว่า neovascular macular degeneration (การเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทที่จอตา) นอกจากนี้ผลการศึกษาที่แยกจากกันเมื่อ 2 ปีที่แล้วยังพบความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ยาแอสไพรินบ่อยๆกับการพัฒนาของ AMD (2)

ถ้าคุณใช้แอสไพรินเพื่อป้องกันโรคหัวใจหรือบรรเทาอาการปวด...ลองใช้วิธีนี้แทนจะดีไหม

หากคุณเป็นเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ คุณอาจสวมใส่รองเท้าที่มียางหรือพลาสติกเป็นพื้นรองเท้าเพราะสังคมเราได้ทำเช่นนี้มานานกว่า 50 ปี แต่ปัญหาก็คือการสวมรองเท้าที่เป็นฉนวนโดยทั่วไปจะบล็อกการเชื่อมต่อตามธรรมชาติของร่างกายของคุณกับการจัดเก็บอิเล็กตรอนของโลกซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีที่สุด แนวคิดของการต่อสายดินหรือที่เรียกว่า grounding ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Clint Ober ที่ระบุไว้ว่า “การต่อสายดินทำได้ง่าย ๆ โดยการเดินเท้าเปล่าและต่อสายดินเข้ากับโลก”

เมื่อคุณเชื่อมต่อกับพื้นดินและเชื่อมต่อกับโลกโดยตรงแล้ว จะมีการถ่ายโอนอิเล็กตรอนอิสระจากโลกเข้าสู่ร่างกายของคุณและอิเล็กตรอนอิสระเหล่านี้อาจเป็นแหล่งต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพมากซึ่งอาจสูงกว่ายาแอสไพรินหรือพลาวิก (Plavix) ที่ใช้กันทั่วไปและเพิ่งได้รับการแสดงให้เห็นว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง(strokes)

การต่อสายดินเป็นประจำในการวิจัยใหม่ๆ พบว่า :
-เปลี่ยนแปลงอัตราการเต้นของหัวใจที่เป็นประโยชน์
-ลดความต้านทานต่อผิว
-ลดระดับของการอักเสบ

การไหลเข้าของอิเล็กตรอนอิสระจากพื้นผิวโลกจะช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังซึ่งเป็นรากฐานของสภาวะสุขภาพหลายอย่างรวมถึงชะลอความแก่ การต่อสายดินได้รับการค้นพบว่าช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังและอาการปวดข้อและประเภทอื่น ๆ ของอาการเจ็บปวด (3)

อ้างถึงเนื้อหาใน Journal of Alternative and Complementary Medicine (4) :
"พื้นผิวโลกเป็นแหล่งกำเนิดของอิเล็กตรอนอิสระที่ไม่จำกัดและมอบอิเล็คตรอนใหม่อย่างต่อเนื่อง นี่เป็นผลมาจากวงจรอิเล็กตรอนในชั้นบรรยากาศของโลก การสวมรองเท้าที่มีพื้นเป็นฉนวนและ / หรือนอนบนเตียงที่แยกออกจากพื้นดิน ไฟฟ้าของโลกได้ถูกตัดการเชื่อมต่อกับคุณและคนส่วนใหญ่ป่วยเพราะจังหวะไฟฟ้าของโลกและอิเล็กตรอนอิสระขาดหายไป

... การศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการเชื่อมต่อร่างกายมนุษย์กับโลกในระหว่างการนอนหลับ (การต่อสายดิน) ช่วยปรับระดับจังหวะของฮอร์โมนคอร์ติซอลในชีวิตประจำวันและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการนอนหลับ มีรายงานเกี่ยวกับผลประโยชน์อื่น ๆ รวมทั้งการลดอาการปวดและการอักเสบ การศึกษาต่อมาได้ยืนยันการค้นพบก่อนหน้านี้และได้รับการจดบันทึกผลกระทบทางสรีรวิทยาและทางคลินิกในทันทีจากการต่อสายดินหรือเชื่อมต่อร่างกายกับพื้นโลก "

การต่อสายดินอาจจะเป็นประโยชน์หลังจากได้รับบาดเจ็บ ถ้าคุณวางเท้าบนพื้นดินหลังจากได้รับบาดเจ็บ อิเล็กตรอนจะโยกย้ายเข้าไปในร่างกายของคุณและแพร่กระจายไปทั่วเนื้อเยื่อของคุณ อนุมูลอิสระที่รั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดีจะถูกทำให้เป็นกลางโดยอัตโนมัติ สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอิเล็กตรอนมีประจุเป็นลบในขณะที่อนุมูลอิสระมีประจุบวกดังนั้นพวกเขาจึงยกเลิกกันและกัน

Dr. James Oschman ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ด้านพลังงานกล่าวว่า "จริงๆแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับการต่อสายดินคือการปกป้องร่างกายของคุณจากสิ่งที่ฉันเรียกมันว่า..ความเสียหายที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่มันเกิดได้ก็เพราะการตัดการเชื่อมต่อตัวเราออกจากโลกด้วยการใช้ยางและพลาสติกไว้ที่พื้นรองเท้าของเรา "

วิธีการต่อสายดินอาจเป็นประโยชน์ต่อหัวใจของคุณ

ในความเป็นจริงดูเหมือนว่าแอสไพรินแม้จะใช้ในขนาดต่ำก็สามารถทำอันตรายมากกว่าให้ผลดีเพราะผลข้างเคียงที่ร้ายแรงเช่นการบาดเจ็บของลำไส้และการตกเลือด ที่น่าสนใจก็คือเหตุผลที่แอสไพรินถูกแนะนำให้ใช้สำหรับการป้องกันโรคหัวใจเป็นเพราะจะช่วยลดการแข็งตัวของเลือด แต่การต่อสายดินมีผลใกล้เคียงกันและเพิ่งได้รับการค้นพบว่าช่วยให้เลือดของคุณบางลง ทำให้มีความหนืดน้อยได้เช่นเดียวกัน

การค้นพบครั้งนี้อาจมีผลกระทบอย่างมากต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งปัจจุบันเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของโลก แทบทุกด้านของโรคหัวใจและหลอดเลือดมีความสัมพันธ์กับความหนืดของเลือดสูง

เมื่อคุณต่อสายดิน Zeta potential (ศักย์ซีตา) ในเซลล์เม็ดเลือดแดงของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งหมายความว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงของคุณมีประจุมากขึ้นบนผิวของพวกเขา ซึ่งบังคับให้พวกเขาแยกตัวออกจากกัน การกระทำนี้ทำให้เลือดของคุณบางและไหลเวียนได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วยลดความรู้สึกของหัวใจ ทำให้ความดันโลหิตลดลง

อีกนัยหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการขับไล่กันและกัน เซลล์เม็ดเลือดแดงของคุณมักไม่ค่อยติดกันและกลายเป็นก้อน คำว่าเลือดอุดตันไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่มากในการทำให้เส้นเลือดอุดตันในปอดที่จะฆ่าคุณทันที ดังนั้น...นี่คือประโยชน์อย่างมาก.... นอกจากนี้หาก Zeta potential (ศักย์ซีตา)ของคุณสูงซึ่งการต่อสายดินสามารถอำนวยความสะดวกให้คุณไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงโรคหัวใจของคุณแต่ยังลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมที่คุณเริ่มสูญเสียเนื้อเยื่อสมองเนื่องจากการอุดตัน(micro-clotting) ในสมองของคุณ

วิธีที่ง่ายที่สุดในการต่อสายดินคือการเดินเท้าเปล่าข้างนอก สถานที่ๆเหมาะสำหรับการทำเช่นนั้นคือบนชายหาดหรือในทะเลเนื่องจากน้ำทะเลเป็นตัวนำที่ดีเยี่ยม ร่างกายของคุณมีน้ำเสียเป็นส่วนใหญ่ดังนั้นจึงสร้างการเชื่อมต่อที่ดี

พื้นที่ๆใกล้เคียงกับชายหาดเห็นจะเป็นพื้นที่ๆมีหญ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีน้ำค้างปกคลุมอยู่ ตามที่ดร. Oschman กล่าวไว้ : คอนกรีตเป็นตัวนำที่ดีตราบเท่าที่ยังไม่ถูกกั้นด้วยฉนวน คอนกรีตทาสีไม่อนุญาตให้อิเล็กตรอนไหลผ่าน วัสดุเช่นยางมะตอย ไม้และสารทั่วไปเช่นพลาสติกหรือพื้นรองเท้าของคุณจะไม่ยอมให้อิเล็กตรอนไหลผ่านและไม่เหมาะสำหรับการต่อสายดิน

การศึกษาชี้ให้เห็นว่าผลประโยชน์เช่นการบรรเทาอาการปวดและการลดความเครียดอาจเกิดขึ้นได้ในเวลาเพียง 30-80 นาทีของเวลาว่าง ๆ ต่อวันและจำเป็นมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเดินทางโดยเครื่องบิน เนื่องจากการเดินทางๆอากาศเป็นสาเหตุที่ทำให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพ (bio-electric) อ่อนกำลังลง

เช่นเดียวกับการได้รับแสงแดดเป็นประจำ การเดินเท้าเปล่าข้างนอกถือเป็นการปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่ถูกละเลยซึ่งคุณสามารถแก้ไขได้โดยง่ายซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาทางเลือกที่เป็นอันตรายเช่นการใช้แอสไพรินจนกลายเป็นเรื่องปกติประจำวันของชีวิต

เคล็ดไม่ลับในการลดความเสี่ยงของโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular degeneration) ที่เกี่ยวข้องกับวัย

AMD มักเป็นโรคที่ค่อยเป็นค่อยไปและอาการอาจค่อยๆดำเนินไปอย่างช้าๆ ในบางกรณีที่คุณไม่สังเกตการมองเห็นของคุณ มันอาจจะเลวลงจนสายเกินไปที่จะเยียวยา ...แต่สายตาของคุณไม่จำเป็นต้องแย่ลงตามอายุ บางวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องวิสัยทัศน์ของคุณและป้องกันไม่ให้เกิด AMD รวมถึง:

-Astaxanthin(แอสต้าแซนทิน): นี่เป็น carotenoid ที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพดวงตาและการป้องกันตาบอด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากกว่าทั้ง lutein และ zeaxanthin และสามารถข้ามเข้าไปในเนื้อเยื่อของดวงตาได้อย่างง่ายดายและมีผลอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า carotenoids อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอสตาแซนธินอาจช่วยในการป้องกันความเสียหายที่เกิดจากแสง ความเสียหายของเซลล์รับแสง เซลล์ปุ่มประสาท (ganglion cell)
และความเสียหายต่อเซลล์ประสาทจอตาชั้นใน

-ไขมัน Omega-3 จากสัตว์: ไขมัน Omega-3 อาจช่วยปกป้องและส่งเสริมการทำงานของจอประสาทตาให้มีสุขภาพที่ดี หนึ่งในนั้นคือ docosahexaenoic acid (DHA) ซึ่งมีความเข้มข้นในจอประสาทตาของคุณและพบว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งในการป้องกันโรค AMD นอกจากนี้การอักเสบยังมีส่วนร่วมในความก้าวหน้าของ AMD และไขมัน omega-3 มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีปริมาณไขมันโอเมก้า 3 ที่มาจากสัตว์มากที่สุดมีความเสี่ยงต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของ AMD เมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภคน้อยน้อยที่สุด (5)

-วิตามิน D: หลังจากได้รับวิตามิน D3 เสริมเพียง 6 สัปดาห์ หนูทดลองมีวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้นและลดการอักเสบของจอประสาทตาและลดระดับการสะสมของ amyloid beta ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความชรา(6) ผลการวิจัยแนะนำว่า วิตามิน D3 อาจช่วยป้องกัน AMD ผ่านแสงแดดที่ปลอดภัย

-Lutein และ Zeaxanthin: ในบรรดา carotenoids มีเพียง Zeaxanthin และ lutein เท่านั้นที่พบในจอประสาทตาของคุณ ซึ่งมีความเข้มข้นของกรดไขมันสูงที่สุดในบรรดาเนื้อเยื่อใด ๆ ในร่างกายของคุณ เนื่องจากจอประสาทตาของคุณมีสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยแสงและออกซิเจนมากและจำเป็นต้องมีสารกำจัดอนุมูลอิสระจำนวนมากเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากออกซิเจน Lutein และ Zeaxanthin สามารถพบได้ในผักใบเขียวเช่นผักโขม ผักคะน้า ฟักทองและไข่แดง

-การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดของคุณ: ความดันโลหิตสูงอาจทำให้หลอดเลือดเล็ก ๆ บนจอประสาทตาของคุณชำรุดเสียหาย หนึ่งในวิธีหลักในการรักษาความดันโลหิตที่เหมาะสมคือการหลีกเลี่ยงน้ำตาลฟรักโทส การวิจัยโดย Dr. Richard Johnson หัวหน้าแผนกโรคไตและความดันโลหิตสูงที่มหาวิทยาลัยโคโลราโดแสดงให้เห็นว่าการบริโภค 74 กรัมหรือมากกว่าต่อวันของฟรักโทส เพิ่มความเสี่ยงของการมีระดับความดันโลหิตที่ 160/100 mmHg ถึง 77 เปอร์เซ็นต์!

-ปรับระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ: น้ำตาลในเลือดมากเกินไปสามารถดึงของเหลวจากเลนส์ตาของคุณ ส่งผลต่อความสามารถในการโฟกัสและอาจทำให้หลอดเลือดในจอประสาทตาของคุณเกิดความเสียหายและลดการไหลเวียนของเลือดได้ เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณอยู่ในช่วงที่มีสุขภาพดีให้ปฏิบัติตามแนวทางโภชนาการที่ครอบคลุมดังที่ได้โพสต์ไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงการออกกำลังกายและหลีกเลี่ยงน้ำตาลส่วนเกินโดยเฉพาะฟรักโตส

-กินผักใบเขียวเข้มสดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักคะน้า: การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอาหารที่อุดมไปด้วยผักใบเขียวเข้มช่วยให้สุขภาพดวงตาดีขึ้นและผู้ที่บริโภคผักที่อุดมไปด้วยแคโรทีนมากที่สุดคือคนที่มี lutein และ zeaxanthin เพิ่มมากขึ้น

-หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์: อาหารที่มีไขมันทรานส์สูงมีส่วนทำให้เกิดความเสื่อมของจุดภาพชัดที่จอตาโดยการรบกวนไขมันโอเมก้า 3 ในร่างกายของคุณ ไขมันทรานส์สามารถพบได้ในอาหารแปรรูปและขนมอบรวมถึงเนยเทียม อาหารทอดเช่นมันฝรั่งทอด ไก่ทอด โดนัท คุกกี้และแคร็กเกอร์

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะดูและสุขภาพ ถ้าคุณรักพวกเขา

ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

สวัสดี

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ :
JAMA. 2012;308(23):2469-2478.
NYTimes.com December 18, 2012
อ้างอิง :
1 GreenMedInfo.com, Aspirin Toxicity Research
2 Ophthalmology. 2012 Jan;119(1):112-8.
3 Journal of Environmental and Public Health. 2012; 2012: 291541
4 Journal of Alternative and Complementary Medicine. 2007 Nov;13(9):955-67
5 Ophthalmology Volume 117, Issue 12, Pages 2395-2401, December 2010
6 Archives of Ophthalmology April 2011, Vol. 129, No. 4

ทางเลือกที่ไม่ต้องใช้แอสไพริน santi manadee, ทางเลือกที่ไม่ต้องใช้แอสไพริน santimanadee, ทางเลือกที่ไม่ต้องใช้แอสไพริน สันติ มา