รายการ หมอนอกกะลา
ตอน วิเคราะห์เหตุให้ถึงแก่น
“คุณหมอคะ ถ้าในเด็กที่เป็นโรคกระดูกเปราะ มีวิธีการรักษายังไงบ้างคะ ตอนนี้ เริ่มเอาแขนยันพื้นคงอยากจะคลานแล้ว มีกระดูกร้าวและหักไป 2-3 ครั้งและตอนนี้ให้ยาไปแล้วสองครั้ง”
ที่ผมต้องเร่งอ่าน เร่งพิมพ์ก็เพราะกลัวว่า บุคลากรทางการแพทย์จะเร่งสั่งให้แม่ของเด็กเอานมวัวให้ลูกกินให้มาก ๆ เพื่อเพิ่มแคลเซียมให้แก่กระดูกกระดูกเด็กครับ
!!! เหตุที่มาจากแม่สู่ลูก !!!
ดื่มนมกันเถอะ ..
สโลแกนนี้กำเนิดมาเพื่ออุตสาหกรรมนมในปี 1993 เมื่อพวกเขาเปิดตัวแคมเปญเร่งการขายของพวกเขาโดยมุ่งเป้าไปที่การทำให้ผู้บริโภคดื่มนมให้มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ยอดขายนมลดลงอย่างต่อเนื่อง เราเห็นนักกีฬาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีนมติดอยู่ที่หนวดหรือริมฝีปากเพื่อกระตุ้นให้เราดื่มนมให้มากขึ้น แต่นมมันดีอย่างที่อ้างจริงหรือ มันจะทำให้กระดูกของเราแข็งแรงพอที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขจริงหรือไม่ มันจะทำกระดูกทั้งหมดให้แข็งแกร่งจริงหรือไม่ !!!!
เมื่อพูดถึงประโยชน์ของนม คนส่วนใหญ่จะคิดเกี่ยวกับกระดูกและฟัน เราถูกสั่งสอน (ส่วนใหญ่โดยโฆษณาจากอุตสาหกรรมนม บุคลากรทางการแพทย์ ทางการศึกษาที่ขาดความรู้) ให้เชื่อว่าการดื่มนมเป็นวิธีหนึ่งที่ดีที่สุดจะที่เราจะมีกระดูกและฟันที่แข็งแรงทั้งในปัจจุบันและในอนาคต... แต่มันเป็นความจริงหรือ...
นม..กระดูก...สุขภาพ
มารับรู้ข้อมูลจริงในการบริโภคนมและโรคกระดูกพรุนกันดีกว่ามั๊ยครับ
นี่คือความจริงที่คนทั่วๆไปไม่เคยรับรู้ (แต่กระนั้นมันคือความจริง) ว่าประเทศที่มีการบริโภคนมสูงสุด (ทันสมัยที่สุดและเป็นวัฒนธรรมตะวันตก) บังเอิญมีโรคกระดูกพรุนในอัตราที่สูงที่สุด
จากข้อมูลของ International Osteoporosis Foundation, the United States and Europe รายงานว่าผู้ป่วยเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนถึง 51%
อ้างจาก United States Department of Agriculture ที่ว่าประเทศในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีการบริโภคนมเป็นอันดับหนึ่งและสองของโลกใบนี้..ใช่มันเป็นความจริง ชาวยุโรปและอเมริกันไม่เพียงแต่กินนมมากที่สุดแต่ยังต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคกระดูกพรุนมากที่สุดในโลกเช่นกัน
คนส่วนใหญ่ต้องการให้สถิติที่เป็นความจริงนี้จมหายไปในบัดดล นั่นเป็นเพราะมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ถูกบอกให้เชื่อมาตลอดชีวิตและในที่สุดเมื่อเราได้ยินความจริง มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
อ้างจากหนังสือ The Vitamin D Solutionของ Dr. Michael Holick ที่ว่า.. เด็กที่เติบโตขึ้นมาในประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตรมีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน (เมื่อเทียบกับโรคอื่น ๆ ตามวิถีชีวิต ) เมื่อเทียบกับเด็กที่เกิดและเติบโตในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปในอายุเดียวกันที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย
ดังนั้น..มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
คำจำกัดความของนม: นมดิบ vs.นมแปรรูป
เมื่อพูดถึงนม คนส่วนใหญ่จะคิดถึงนมที่วางอยู่บนชั้นวางในร้านขายของชำ: นมพาสเจอร์ไรส์ นมฮอโมจีไนซ์ ไม่ว่าจะเป็นแบบ 100%, 2%, 1% หรือสกิม ที่สำคัญคือกระบวนการที่มันผ่านก่อนที่จะมาวางบนชั้นวางต่างหาก นั่นคือนมที่ผมจะพูดถึงในบทความนี้
น้ำนมดิบ: น้ำนมดิบเป็นนมสดที่ไม่ผ่านกระบวนการใด ๆ และจำเป็นต้องมีความชัดเจนว่า ใช่ว่าทุกน้ำนมดิบจะเหมือนกัน น้ำนมดิบที่มาจากวัวที่มีสุขภาพดี (มีหญ้าอินทรีย์เป็นอาหาร เติบโตในสภาพที่เป็นธรรมชาติของสัตว์) และนมที่ได้รับจากวัวชนิดนี้ก็พอที่จะดื่มได้ถ้าจำเป็นจริงๆและไม่กังวงเรื่องฮอร์โมนที่จะได้จากสัตว์
นมที่ได้มาในสภาพที่ทุกสิ่งเป็นธรรมชาติเป็นอาหารที่เป็นด่าง แต่เมื่อมันไปผ่านการฆ่าเชื้อและทำให้เป็นเนื้อเดียวกันกระบวนการเหล่านี้ทำให้มันกลายเป็นอาหารที่เป็นกรด และนี่คือตัวปัญหาที่หมกเม็ดอยู่
ร่างกายควรเป็นกรด หรือ เป็นด่าง
ร่างกายต้องรักษาระดับ pH อย่างเข้มงวดให้อยู่ระหว่าง 7.35 ถึง 7.45 ในการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ระดับ pH ที่เป็นด่างเล็กน้อยนี้จะถูกเก็บไว้โดยร่างกายโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด มันเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ๆ ค่า pH ที่ต่ำกว่า 6.8 หรือสูงกว่า 7.8ร่างกายของเราจะป่วย เซลล์จะตายและนำไปสู่ความตาย ร่างกายที่ชาญฉลาดของเราจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น - ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!
เนื่องจากเรากินอาหารผ่านกระบวนการมากขึ้นและมากขึ้น ร่างกายจึงเป็นกรดมากขึ้น อาหารที่เราใส่เข้าไปในร่างกายของเราในทุกวันนี้เป็นการเพิ่มสารเคมีในร่างกายแล้วทำให้ร่างกายเป็นกรด ระบบร่างกายของเราต้องหาวิธีที่จะรับมือกับความเป็นกรดสูงนี้อย่างต่อเนื่องและต้องตรวจสอบค่า pH ของเราตลอดเวลา
ร่างกายทำสิ่งนี้โดยการชะล้างด่างมาจากที่อื่น ๆ ในร่างกาย หนึ่งในแหล่งที่มาของด่างนี้คือกระดูก ดังนั้นร่างกายจึงทำเป็นอยู่สิ่งเดียวที่รู้ว่าจะต้องทำ (เพื่อที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้) แล้วมันก็ละลายสารอัลคาไลน์จากกระดูก(แคลเซียมและแม็กนีเซียม)วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า กระดูกที่ถูกละลายสารอัลคาไลน์เป็นประจำจึงอ่อนแอและเต็มไปด้วยโรคกระดูกพรุน
นมที่เราดื่มมากขึ้น (และอาหารเป็นกรดที่เรากิน)เป็นการนำกรดที่มากขึ้นเข้ามาในร่างกายของเราและร่างกายของเราก็ชะสารอัลคาไลน์จากกระดูกอันมีค่าของเรา มันเป็นวงจรที่เราไม่สามารถที่จะมองข้ามได้
ระดับของกรดในร่างกายสูงเรียกว่า ภาวะที่เลือดมีความเป็นกรดมากกว่าปกติ (acidosis) โรคกระดูกพรุนเป็นเพียงหนึ่งในโรคเรื้อรังจำนวนมากที่เชื่อมโยงกับ acidosis ความจริงหนึ่งที่คุณจะต้องระลึกไว้ในใจอยู่เสมอก็คือ..เนื้องอกเจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่เป็นกรด เชื้อโรคเติบโตได้ดีในสภาวะเป็นกรด ยิ่งมะเร็ง ยิ่งเป็นภาวะโปรดของมัน ภาวะที่เลือดมีความเป็นกรดมากกว่าปกติเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานหรือได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ
แคลเซียมจากแหล่งอาหารอื่นมีอยู่มากมาย ทำไมต้องเป็น..นม...เคยคิดและใคร่ครวญกันหรือไม่ หรือจะปล่อยให้ความไม่รู้ ความไม่สนใจ เป็นเหยื่อของอุตสาหกรรมนม ที่กอบโกยเงินโดยไม่ยอมใส่ใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
ขอบคุณ บทความ Is Milk Hurting or Helping Your Bones?
International Osteoporosis Foundation (2009)
The pH Miracle (2008)
BusinessWeek (2008)
Department of Agriculture (2010)