รายการ”หมอนอกกะลา” วันนี้ มาชวนคุยเรื่องถั่วเหลืองกันให้ละเอียดอีกหน่อยครับ เพราะเห็นยังมีการโพสต์เชิญชวนให้กินกันอยู่ประปราย ก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ สุขภาพใครสุขภาพมันอยู่แล้วครับ แต่จะอุเบกขาซะก็เป็นห่วงครับ งานทั้งสองชิ้นนี้ขอยกเครดิตให้ผู้เผยแพร่ครับ ผมเรียบเรียงใหม่เล็กน้อยให้ดูไม่เป็นวิชาการมากนัก แต่ต้องยาวครับ ประเดี๋ยวไปเข้าใจผิดๆกันอีก ขอเข้ารายการนะครับ
เป็นที่รับรู้กันว่านมวัวเป็นเหตุของภูมิแพ้และการประชุมปี 1997 ของกองทุนวิจัยมะเร็งโลกและสถาบันมะเร็งแห่งชาติอเมริการะบุว่า นมวัวเป็นปัจจัยที่เป็นไปได้ (probable factor) สำหรับมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ กับมะเร็งต่อมลูกหมาก ธุรกิจนมยอดขายตกลงทุกที่ ๆ มีนมถั่วเหลืองเป็นคู่แข่ง นมถั่วเหลืองชูงานวิจัยว่า ถั่วเหลืองมีสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ ฟัยโตอีสโตรเจน ช่วยยับยั้งมะเร็งเต้านมได้ แถมช่วยเสริมฮอร์โมนเพศหญิงทำให้ไม่มีอาการวัยทอง แถมป้องกันโรคหัวใจด้วย
แต่สมัยนี้เริ่มมีกระแสต้านถั่วเหลืองจากในอเมริกาเอง บอกว่ากินถั่วเหลืองมากจะทำให้ผู้ชายกลายเป็นกระเทย เพราะฮอร์โมนฟัยโตอีสโตรเจน ถั่วเหลืองยังทำให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ ทำให้เสี่ยงต่อสมองเสื่อมเป็นอัลไซเมอร์อีกด้วย เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร?
เริ่มจากคนอเมริกันประจักษ์ในผลร้ายของการดื่มนมวัวจึงพากันหันไปดื่มนมถั่วเหลืองแทน และเมื่อความต้องการของตลาดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างมอนซานโตในอเมริกาจึงทุ่มผลิตถั่วเหลืองออกสู่ตลาด จะผลิตให้ได้มากๆก็ใช้กระบวนการดัดแปลงทางพันธุกรรม (GMO)เข้าช่วย พร้อมกันนั้นด้วยวิสัยทัศน์อย่างอเมริกัน ผลิตภัณฑ์จะเข้าสู่ตลาดได้ ก็ต้องทำให้สำเร็จรูป พร้อมแก่การชงดื่ม ทั้งตบแต่งสีกลิ่นให้ไม่ระคายรสนิยมของผู้บริโภค กลายเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ผงถั่วสกัด-เอสพีไอ(Soy protein isolate-SPI) ซึ่งเป็นผลงานของบริษัทยักษ์อย่าง คาร์กิลล์ ฟู้ดส์(Cargill Foods) และ ซอยไลฟ์(Soy Life) จากนั้นคนอเมริกันทั้งทารกและผู้ใหญ่ก็พากันกินผงถั่วสกัดชนิดนี้ ตั้งแต่นมชงจากผงถั่วไปจนถึงซอยเบอร์เกอร์ บิสกิตถั่วฯลฯ กลายเป็นกระแสของการตื่นกินถั่วเหลือง
ข้อกล่าวหา
ในระยะ 5 ปีให้หลังมานี้เริ่มมีกระแสคัดค้านการกินถั่วเหลืองขึ้นในอเมริกา โดยพูดถึงผลร้ายของถั่วเหลืองในด้านต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้คือ:
1.ถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฟัยโตอีสโตรเจน เป็นสารคล้ายฮอร์โมเพศหญิง ซึ่งถ้ารับไปมากๆเข้าก็ออกฤทธิ์แทนฮอร์โมนเพศไปเลย การวิจัยของจิลล์ ชไนเดอร์(Jill Schneider) มหาวิทยาลัยเลไฮ ที่เพนซิลวาเนียให้หนูทดลองกินสารสกัดโปรตีนถั่วอย่างจริงจัง ปรากฏว่าหนูทดลองเข้าสู่วัยรุ่นเร็วผิดปกติ เธอสรุปว่า เด็กที่กินนมถั่วเหลืองจะได้รับสารคล้ายฮอร์โมนนี้ซึ่งเป็นผลต่อการพัฒนาความเป็นหญิงและชายของคนเรา ทารกที่กินนมถั่วเหลืองสกัดในวันหนึ่งๆจะเท่ากับรับยาคุมกำเนิด 5 เม็ดต่อวัน ประมาณได้ว่าทารกเหล่านี้จะมีระดับสารไอโซฟลาโวนในเลือด 13,000-22,000 เท่าเมื่อเทียบกับระดับอีสตราไดออลจากนมวัวที่ทารกดื่ม
2.ถั่วเหลืองเป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสารฟัยเตตซึ่งยับยั้งการดูดซึมเกลือแร่เช่นแมกนีเซียม แคลเซียม เหล็กและสังกะสี ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่กินธัญพืชมักจะมีภาวะขาดเกลือแร่ เช่นเลือดจางเพราะขาดธาตุเหล็ก กระดูกพรุนเพราะขาดแคลเซียม น่าจะเป็นเพราะประเทศเหล่านี้กินธัญพืชมาก สรุปว่าทารกที่กินผงถั่วสกัด-เอสพีไอจงระวังปัญหานี้ให้ดี
3.ถั่วเหลืองมีสารต้านเอนไซม์ซึ่งยับยั้งการดูดซึมกรดอะมิโนทริปซิน และยับยั้งเอนไซม์ย่อยอาหารอีกหลายตัว ความร้อนจากการปรุงอาหารธรรมดาไม่สามารถยับยั้งสารต้านเอนไซม์ตัวนี้ได้ กินถั่วจึงท้องอืด และกินนานๆอาจทำให้ร่างกายพร่องโปรตีนได้ ถั่วเหลืองยังมีสารฮีแมกกลูตินินซึ่งทำให้เลือดจับก้อน จึงไม่ได้ป้องกันโรคหัวใจอย่างที่คุย แต่มีผลตรงกันข้าม
ทั้งฮีแมกกลูตินินและสารต้านทริปซินยังเป็นสารยับยั้งการเติบโต สารนี้อาจถูกย่อยสลายได้ด้วยการหมัก เช่นการทำเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว มิโซะ และเทมเปะของชาวจีนและญี่ปุ่น แต่สลายเพียงส่วนน้อยด้วยการหุงต้มธรรมดาหรือแม้แต่การตกตะกอนโปรตีนในกระบวนการทำเต้าหู้ สรุปว่าสารนี้น่าจะเป็นเหตุให้คนเอเชียตัวเล็ก ดังนั้นถ้าจะกินถั่วเหลือง ให้จำกัดการกินเฉพาะเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว มิโซะ เทมเปะและการสกัดด้วยระบบ Hydrolysis เท่านั้น แม้กินเต้าหู้ก็ยังไม่ปลอดภัยจากสารสองชนิดนี้ และจะเกิดผลร้ายต่อสุขภาพ อันนี้ชาวมังสวิรัติทั้งหลายรวมถึงสันติอโศกเริ่มทราบกันแล้ว และ มีเนื้องอกกันเยอะแล้ว เพื่อนรักผมไปช่วยบำบัดอยู่
4.ผลิตภัณฑ์ถั่วจากอเมริกาที่เข้าตลาดทั่วโลกทุกวันนี้กว่า 90% เป็นจีเอ็มโอ แถมอุดมด้วยสารฆ่าแมลง แถมการทำถั่วเหลืองให้เข้าสู่การพร้อมบริโภคในรูปของสารสกัดโปรตีนถั่ว(SPI) ใช้กระบวนการที่ผิดธรรมชาติหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่เอาถั่วเหลืองไปแช่ในน้ำด่างเพื่อขจัดสารเส้นใย จากนั้นก็ไปแช่น้ำกรดเพื่อสะเทินฤทธิ์ด่าง ปรากฏว่ากรดจะละลายอลูมิเนียมจากถังแช่เข้าสู่ผงถั่ว ทำให้ผงถั่วมีอลูมิเนียมปนเปื้อนมากกว่าปริมาณปกติถึง 1,000% เป็นที่รู้กันว่าการรับอลูมิเนียมมากสัมพันธ์กับการเกิดอัลไซเมอร์ ในกระบวนการพ่นละอองเพื่อทำผงถั่ว (spray dry) ยังเกิดสารพิษที่ชื่อว่า ลัยซิโนอะลานีน (lysinoalanine) ซึ่งเป็นสารกลุ่มไนไตรต์ที่ถือเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง แล้วกระบวนการแต่งรสของผงถั่วสกัดยังมีการใส่ผงชูรส (MSG) เข้าไปอีกด้วยเพื่อกลบรสชาติของถั่ว ใช้เป็นผงถั่วชนิดชงที่ไม่มีกลิ่นถั่วเหลือง หรือผลิตเป็นชิ้นโปรตีนถั่วสำหรับปรุงอาหาร อย่างที่คนไทยบ้านเราเรียกกันว่า โปรตีนเกษตร หรือคนจีนเรียกหมี่กึงนั่นแหละ แต่ในอเมริกาคงเอาผงถั่วชนิดนี้ไปทำของกินอีกสารพัด ยกเว้นผลิตรถยนต์โปรตีนถั่ว ( ขำๆครับ)
ที่ผ่านมาผลิตผลจากผงโปรตีนถั่วเริ่มใช้แพร่หลายเป็นอาหารมื้อเที่ยงในโรงเรียน ในผลิตภัณฑ์ขนมปิ้ง อาหารฟาสต์ฟู้ด และเครื่องดื่มสุขภาพ ทั้งยังกลายเป็นอาหารเพื่อการแจกจ่ายแก่ผู้คนในประเทศยากจนอีกด้วย นั่นแปลว่า กินโปรตีนถั่วปรุงแต่งที่แถมผงชูรสเอาไว้เสร็จสรรพ มันช่างแน่จริงๆ
5.ข้อกล่าวอ้างที่ว่าถั่วเหลืองต้านมะเร็งโดยยกตัวอย่างชาวญี่ปุ่นกินถั่วเหลืองมากกว่าคนอเมริกัน 30 เท่า จึงมีอัตราของมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกและมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าชาวอเมริกันมาก เริ่มมีข้อโต้แย้งโดยกลุ่มผู้ต่อต้านถั่วเหลือง ดังนี้คือ แม้ข้อมูลนี้จะจริง แต่ชาวญี่ปุ่นและชาวเอเชียก็ป่วยเป็นมะเร็งชนิดอื่น เช่นมะเร็งหลอดอาหาร กระเพาะ ตับ และตับอ่อนมากกว่า รวมทั้งมะเร็งไทรอยด์ด้วย จึงน่าจะเชื่อว่ามะเร็งไทรอยด์และมะเร็งทางเดินอาหารเหล่านี้สัมพันธ์กับอาหารที่กิน และงานวิจัยในสัตว์ทดลองก็พบความสัมพันธ์ดังกล่าว
งานวิจัยที่ญี่ปุ่นเมื่อค.ศ.1991 พบว่าการกินถั่วเหลือง 30 กรัมหรือ 2 ช้อนโต๊ะต่อวันเป็นเวลา 1 เดือนทำให้กระตุ้นฮอร์โมนที่กระตุ้นไทรอยด์(Thyroid stimulating hormone) เกิดคอพอก และภาวะไทรอยด์ต่ำ ปัจจุบันเด็กในอเมริกาทุกๆ 4 คนจะดื่มที่ชงจากผงถั่วสกัด-เอสพีไอ 1 คน
6.การบริโภคถั่วเหลืองในยุคปัจจุบันมาจากวัฒนธรรมตะวันออก คนจีนในอดีตกินถั่วเหลืองไม่ได้กินทั้งเมล็ด แต่ใช้การหมักเป็นเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว ญี่ปุ่นก็เป็นเทมเปะ นัตโตะ มิโซะ และโชยุ ในภายหลังคือประมาณ 2 ศตวรรษก่อนคริสตกาลจึงมาพบวิธีทำเต้าหู้ด้วยการตกตะกอนโปรตีนในสารละลายแคลเซียมแมกนีเซียมซัลเฟต คนจีนและญี่ปุ่นกินถั่วเหลืองหมักไม่เกิดโทษเพราะการหมักได้ทำลายเอนไซม์ต้านทริปซินและตัวขัดขวางการดูดซึมสารอาหารไปเรียบร้อยแล้ว แต่กระบวนการทำเต้าหู้นั้น สารไม่ดีตัวนี้ยังอยู่โดยส่วนใหญ่ จึงยังมีผลร้ายมากกว่าผลดี
เหล่านี้คือ ด้านร้ายของถั่วเหลืองที่กลุ่มผู้ต่อต้านถั่วเหลืองกำลังเผยแพร่ พร้อมกับบอกอีกว่า ถ้าเด็กดื่มนมวัวแล้วแพ้ การกินนมถั่วเหลืองกลับมีอันตรายมากกว่า ครับ เหล่านี้คือข้อกล่าวหาการกินถั่วเหลืองที่เผยแพร่กันอยู่ในอเมริกาและทั่วโลกทางเน็ต และเป็นเหตุให้ผู้รักสุขภาพทั่วโลกเริ่มจะสติแตก
อันนี้ก็น่าอ่านครับ ถ้าใครไม่ถนัด ภาษาไทยด้านบนก็ครอบคลุมแล้วครับ
Soy Toxicity
By Lita Lee, Ph.D.
A summary of the toxic effects of soy
A table of the toxic effects of soy. Soy was never meant for human consumption. What's wrong with soy? It contains three potent estrogens (isoflavones), hemaggluttin, clot-promoting toxin, phytates which inhibit the absorption of important minerals (calcium, zinc and magnesium), trypsin (enzyme) inhibitors, an unidentified protein called "soyatoxin" and the protein of soy is very poor and largely unusable due to processing. Soymilk contains 100 times more aluminum than breast or cow milk and can cause permanent genitalia defect in babies. Giving and infant soymilk is like giving him or her five birth control pills a day.
Soy: Summary of Toxic Effects
Only one oz of soy protein consumed daily causes breast abnormalities due to soy’s powerfully estrogenic effects (Petrakis, N.L., et al., 1996).
Pregnant animals fed soy protein produced offspring with deformed sex organs and a life-long ‘estrogen syndrome’ (e.g. increased incidence of thyroid disease, bone loss, gallbladder disease, cancer, infertility and heart disease). The high estrogen syndrome can be corrected in one generation with a very strict high animal-protein diet and thyroid therapy. This study was done 50 years ago.
The effect of soy protein isolate was evaluated of pre- and post-menopausal women. The results showed increased breast secretion (the effect of estrogen), increased hyperplastic epithelial cells in the breast fluid (a pre-cancerous sign) and increased plasma estradiol. This study demonstrates the strong estrogenic properties of soy protein (Petrakis, N.L., et al. 1996).
Dietary use of soy protein in post-menopausal women gave an estrogenic response (Baird, D.D., et al., 1995).
Soy protein contains potent thyroid inhibitors called isoflavones, mainly genistein and daidzein (Divi, R.I. and D.R. Doerge, 1997).
Soy is an anti-thyroid substance: Hypothyroidism and goiters were reported in infants receiving soy-containing formula (Valentine, Tom, 1997). Thyroid function was studied in people consuming soy. Soy was found to cause thyroid suppression and goiters in many studies (Ishizuki, Y., et al., 1991; Divi, R.I. and D.R. Doerge, 1997).
Soy contains potent proteolytic enzyme inhibitors (trypsin and others) which block these enzymes needed for protein digestion. These enzyme inhibitors cannot be refined out of the soy mash nor deactivated during cooking. Eating soy can thus produce serious gastric distress from reduced protein digestion and chronic amino acid deficiencies. In test animals, diets high in trypsin inhibitors caused pancreatic hypertrophy and pathologic conditions of the pancreas, including cancer (Fallon, S. W. and Mary G. Enig, 1995).
Soy protein, especially unfermented soy protein (tofu, soy milk, soy beans) contain the highest amount of phytic acid of any known substance. This acid blocks mineral absorption: especially zinc, but also calcium magnesium, and iron. Only a long period of fermentation will significantly reduce the phytate content of soybeans (Fallon, S. W. and Mary G. Enig, 1995).
The soybean contains a clot promoting substance called hemagglutinin, which makes red blood cells stick together or ‘clump.’ Hemagglutinin is deactivated during fermentation. In unfermented soy products, the hemagglutinin is reduced in quantity but not completely eliminated (Fallon, S. W. and Mary G. Enig, 1995).
Soy protein powder is a highly refined, high temperature-produced product that is a very poor source of protein and still contains trypsin which can very as much as 20%. Use of soy milk in infants produces a severe mineral deficiency, especially of zinc and. In addition, soy formula contains 100 times more Aluminum than unprocessed milk (Fallon, S. W. and Mary G. Enig, 1995).
เอาล่ะครับ คราวนี้ใครจะกินก็กินไปครับ ผมไม่แน่นอนครับ ขอจบรายการหมอนอกกะลา นะครับ ขอให้ทุกท่านสุขภาพดีครับ สวัสดีครับ
—