วันนี้ผมอยากจะมาพูดคุยขำ ๆเรื่อง
ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่แพทย์มักจะสั่งจ่ายและยาเหล่านี้เรียกว่าสแตติน(statins)
ยาสแตตินถูกออกแบบมาเพื่อยับยั้งเอนไซม์บางชนิดในร่างกาย และหน้าที่ของเอนไซม์นี้คือการสร้างโมเลกุลคอเลสเตอรอล กล่าวโดยสรุป สแตตินจะยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอล ส่งผลให้คอเลสเตอรอลลดลง ดังเช่นทฤษฎีที่ว่า ลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด(cardiovascular disease)
อย่างไรก็ตาม มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับสแตตินที่คุณควรรู้
ผลข้างเคียงของสแตตินที่พบบ่อยที่สุดคืออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ แต่จริงๆ แล้วมีกลไกที่ถูกกระตุ้นและกลไกนั้นก็คือสแตตินจะลดปริมาณโคคิวเทนหรือโคเอนไซม์คิวเทน(CoQ10 or coenzyme Q10)
คุณอาจเคยรู้จัก CoQ10 หรือ coenzyme Q10
มันเป็นอาหารเสริมทั่วไปที่ขายตามร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพ และขายตามร้านขายอาหารเสริม
โคคิว10 หรือโคเอนไซม์ คิว10 เป็นสารอาหารที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้ แต่เมื่อคุณรับประทานยาสแตติน มันจะไปขัดขวางความสามารถของร่างกายในการผลิตโคคิว10 เนื่องจากคอเลสเตอรอลสร้างโคคิว10
ดังนั้นเมื่อเราปิดกั้นคอเลสเตอรอล ก็เท่ากับปิดกั้นการผลิตสารอาหารนี้โดยอัตโนมัติ
ทำไมสิ่งนี้จึงสำคัญสำหรับผู้ที่พยายามลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
เมื่อโคคิว10 ต่ำ สิ่งที่เราจะได้รับคือปัญหาสองถึงสามประการ
ประการแรก การขาดโคคิว10 ในระยะยาวอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ (congestive heart failure)และมีการศึกษาและบันทึกไว้อย่างดีในวารสารทางการแพทย์หลายฉบับที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิว่าภาวะขาดโคคิว10 จริงๆ แล้วทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลง และสิ่งที่เราพบคือกล้ามเนื้อหัวใจที่อ่อนแอลง ซึ่งเรียกว่าภาวะหัวใจล้มเหลวชนิด Congestive Heart Failure และนำไปสู่อาการบวมที่ข้อเท้าและเท้า นั่นเป็นปัจจัยหนึ่งที่เราพบเมื่อเราลดระดับ CoQ10 ลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
ย้ำอีกครั้งว่าจุดประสงค์ของการกินยาสแตตินคือเราพยายามลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ดังนั้นหากเรากินยาสแตตินเพื่อลดคอเลสเตอรอลและลดโรคหัวใจ แต่มันกลับทำให้เกิดภาวะขาด CoQ10 และทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวชนิด Congestive Heart Failure
....อ้าวเห้ยแล้วเราได้ประโยชน์อะไรไปบ้างล่ะเนี่ย...
นั่นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ภาวะขาด CoQ10 นำมาให้เรา อีกปัจจัยหนึ่งที่ภาวะขาด CoQ10 อาจทำให้เกิดคือ ความดันโลหิตสูงและเรื่องนี้ยังได้รับการศึกษาและบันทึกไว้เป็นอย่างดีจนกระทั่งบริษัทที่ผลิตยาสแตตินบางแห่งได้จดสิทธิบัตรยาตัวที่มี CoQ10 เป็นส่วนประกอบ
สิทธิบัตรเหล่านั้นยังไม่ได้ผลิตยาเหล่านั้นออกสู่ตลาดจริง ๆ เพราะทฤษฎีบอกว่าพวกเขากำลังรอให้สิทธิบัตรเหล่านี้หมดอายุลง แล้วจึงจะผลิต CoQ10 ผสมกับยากลุ่มสแตติน และจะมีสิทธิบัตรใหม่ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ เพื่อปกป้องรายได้
แต่ยังไงก็ตาม ภาวะขาด CoQ10 อาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้เช่นกันนั่นคือเหตุผลที่ว่า
...เมื่อได้รับยาลดไขมันก็จะได้รับยาลดความดันร่วมด้วย....
และเมื่อรับประทานยา2 ตัวนี้ร่วมกันไปนานๆ...เอ้าเห้ย เหตุใดค่าการทำงานของไตลดลงอีกล่ะเนี่ย
และแน่นอนที่สุด จำได้ไหมว่าเป้าหมายของเราคืออะไร
เป้าหมายของเราคือการลดโรคหัวใจ ตอนนี้เราได้ใช้ยาเพื่อลดโรคหัวใจแล้ว และเราได้กระตุ้นให้เกิดกลไกสองแบบที่อาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ตอนนี้มีองค์ประกอบที่สามของภาวะขาด CoQ10 ซึ่งองค์ประกอบที่สามเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงอีกประการหนึ่งของภาวะขาด CoQ10 นั่นคือทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทีนี้ลองมาคิดกันว่าผลกระทบต่อบุคคลนั้นเป็นอย่างไร
สมมติว่าผมเป็นผู้ชายอายุ 60 ปี กินสแตตินมาสองปีแล้วเพื่อลดคอเลสเตอรอล และตลอดระยะเวลาสองปีนั้น กล้ามเนื้อของผมฝ่อลง อ่อนแอลง เข้าใจไหมครับ... และเมื่อกล้ามเนื้ออ่อนแอลง ผมก็เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง เพราะเดินขึ้นบันไดยากขึ้น ไปเที่ยวพักผ่อนและเดินป่ายากขึ้น ขี่จักรยานหรือยกน้ำหนักยากขึ้น เพราะกล้ามเนื้อฝ่อลงและอ่อนแอลง
แล้วอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเราลดการออกกำลังกาย
เมื่อเราลดการออกกำลังกายลง เราก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และเมื่อทำเช่นนี้ เราจะยับยั้งสาร CoQ10
การขาด CoQ10 อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งนำไปสู่การขาดการออกกำลังกาย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
แล้วเรื่องนี้สมเหตุสมผลแค่ไหนกัน
ดังนั้น ผมแนะนำให้คุณนำข้อมูลนี้ไปปรึกษาแพทย์ คุณสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาวะขาด CoQ10 และยาสแตตินใน Google ได้ คุณจะพบข้อมูลมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ลองนำข้อมูลนี้ไปปรึกษาคุณหมอดูนะ เผื่อคุณหมอจะมีวิธีอื่นให้คุณ นอกจากการให้ยาสแตตินแล้วบอกว่าระดับคอเลสเตอรอลของคุณสูง และคุณต้องกินยานี้ไปตลอดชีวิต
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ ฮ่า ๆๆๆๆๆ
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง