เวลาเปลี่ยน ความรู้ก็เปลี่ยน
ผมขอเล่าสิ่งที่ผมอ่าน แล้วรู้สึก ขำ !!!! ขำจริง ๆ นะ ..ลองอ่านดู
สมัยสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันที่มารบในสงคราม ทุกคนต้องผ่าตัดไส้ติ่งทุกคน เพราะกลัวว่าจะเกิดไส้ติ่งอักเสบในสงคราม ต
แต่แท้ที่จริงแล้วไส้ติ่งมีประโยชน์เกี่ยวกับภูมิต้านทานหลายอย่างมาก ตอนหลังนักวิทยาศาสตร์เขารู้ว่าไส้ติ่งมีประโยชน์ ทหารอเมริกันที่กลับจากสงครามเขาก็เอาเรื่องรัฐบาลน่ะซิว่ามาตัดไส้ติ่งพวกเขาหมด รัฐบาลจึงปิดปากพวกที่กลับจากสงครามเวียดนาม โดยรัฐบาลอเมริกันให้ทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ
...ด้วยเหตุผลว่า...ไส้ติ่งเป็นอวัยวะส่วนเกินในร่างกาย ...ไส้ติ่งเป็นอวัยวะที่เหมือนชิ้นเนื้อเล็กๆ งอกออกมาจากลำไส้ พิจารณายังไงไส้ติ่งก็ไร้ประโยชน์ ร่างกายไม่ได้ใช้มัน....เป็นวิธีคิดที่ผิดและดูถูกความสามารถของร่างกาย
ไส้ติ่งเป็นประโยชน์ต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่แพทย์ปัจจุบันแนะนำให้ตัดออก...ไส้ติ่งเป็นอวัยวะสำคัญมาก ร่างกายจำเป็นต้องมีมันไว้...แต่ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ผ่านมา 100 ปี ไม่รู้ว่าเรามีไส้ติ่งไว้เพื่ออะไร
โลกทางแพทย์แผนปัจจุบันเพิ่งรู้ไม่นานมานี้เองว่า ไส้ติ่งก็มีหน้าที่ต้องทำเหมือนอวัยวะอื่นๆ ที่มีในร่างกาย ซึ่งกว่าที่ทางการแพทย์แผนปัจจุบันจะรู้ถึงความสำคัญของไส้ติ่ง ผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกตัดไส้ติ่งทิ้งไปแล้ว เพราะความไม่รู้บวกกับความเชื่อ โดยแพทย์เป็นผู้ชี้นำ ซึ่งแพทย์ไม่เคยสังหรณ์ใจ...เหตุใดแพทย์แผนจีนจึงพูดถึงไส้ติ่ง อีกทั้งในแพทย์แผนจีนยังมียารักษาไส้ติ่งและบำรุงไส้ติ่งอีกด้วย
เพราะแพทย์แผนปัจจุบันท่านทรนงตนว่าเป็นผู้รู้ โดยไม่เข้าใจว่าท่านเป็นพวกน้ำชาล้นถ้วย กลับไปมองว่าแพทย์แผนจีนเหลวไหล กว่า 100 ปีที่พูดถึงไส้ติ่ง แพทย์แผนแผนปัจจุบันมักหัวร่องอหายเย้ยหยันคนโบราณว่างมงายไร้เหตุผล ทั้งที่ตนเองไม่รู้...วันนี้รู้แล้ว...ไส้ติ่งทำหน้าที่ในการรักษาภูมิต้านทานให้เรา โดยมันทำหน้าที่เก็บ "จุลินทรีย์" ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายไว้ เมื่อร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น...ไส้ติ่งที่ว่าเป็นส่วนเกินของลำไส้ มันจะเป็นที่หลบซ่อนของจุลินทรีย์ภูมิต้านทานเมื่อร่างกายป่วย อย่างเช่นเมื่อท้องเสีย ท้องเดิน
การขับถ่ายไม่หยุด ร่างกายจะเสียจุลินทรีย์ไปกับของเสียที่ออกจากร่างกายในภาวะที่ไม่ปกติ...ท่านพอเข้าใจหรือยัง โดยเฉพาะท่านที่ใจร้อนหั่นไส้ติ้งทิ้งลงแม่น้ำไปแล้ว แน่นอนว่าท่านจะไม่มีที่หลบภัยของเหล่านักรบจุลินทรีย์ ซึ่งหน้าที่ของมันคือคุ้มครองชีวิต
ใครไม่มีไส้ติ่งจะมีการสูญเสียจุลินทรีย์ภูมิต้านทานอย่างรวดเร็ว.....จุลินทรีย์ตัวนี้จะเกาะที่ผนังลำไส้เล็ก ยึดพื้นที่ไม่ให้เชื้อก่อโรคมีที่อาศัย มันทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทั้งช่วยในระบบดูดซึมสารอาหารในกระบวนการที่ต่อจากการย่อยของกระเพาะ เพื่อให้เซลล์ได้รับธาตุอาหารที่ร่างกายต้องใช้ ไม่ว่าวิตามิน เกลือแร่ หรือกรดอะมิโน
เมื่อเราตัดไส้ติ่งทิ้ง จึงเท่ากับไปทำลายบ้านอีกหลังของมันซึ่งใช้หลบภัย เหมือนบางคนมีเซฟเฮาส์ หรือมีบ้านอีกหลังไว้หนีภัยน้ำท่วม เป็นเหตุผลในเชิงรูปธรรมง่ายๆ หยิบยกขึ้นมาเปรียบเปรย
ใครก็ตามหากมีจุลินทรีย์ตัวนี้ หมายถึงว่าโอกาสหรือความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยเป็นเรื่องยากมาก เพราะร่างกายเหมือนมีปราการที่แข็งแกร่ง มีกองกำลังคอยอารักขาตลอดเวลา ซึ่งเรายังไม่เข้าใจในกระบวนนี้ เรารู้เพียงว่าเราต้องมีภูมิต้านทาน แต่ไม่รู้ว่าภูมิต้านทานตัวนี้คืออะไร มันอยู่ที่ไหน ปฏิบัติการอย่างไร
เดิมทีเราทุกคนมีภูมิต้านทาน หากเกิดมาสมประกอบไม่พิกลพิการ...เป็นกลไกที่ธรรมชาติสร้างขึ้นตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เด็กแรกเกิดจึงมีภูมิต้านทานแข็งแรงที่สุด แม้เริ่มโตขึ้นภูมิต้านทานก็ยังดี ในช่วงก่อน 10 ขวบ จะพบว่าเด็กที่ป่วยจะสามารถเคลื่อนไหวได้มากกว่าผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ยังวิ่งเล่นด้วยซ้ำ พอไข้ขึ้นก็นอนซม ฟื้นขึ้นมาก็เล่นต่อ ซึ่งผู้ใหญ่ทำเช่นนั้นไม่ได้ ผู้ใหญ่เมื่อล้มแล้วล้มนานกว่าจะคืนสภาพเดิม
นี่คือเครื่องชี้วัดว่าเด็กมีภูมิต้านทานสูงกว่า ภูมิต้านทานที่ว่าคือ ในลำไส้เล็ก "มีจำนวนจุลินทรีย์ภูมิต้านทานสูงมากกว่าผู้ใหญ่"
จึงเกิดคำถามว่า...แล้วภูมิต้านทานผู้ใหญ่หายไปไหน...มันหายไปจากการใช้ชีวิตประจำวันนี่เอง...คนยิ่งแก่ภูมิต้านทานยิ่งลดลง โดยลดลงเองตามธรรมชาติประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งจุลินทรีย์ภูมิต้านทานลดลงจากการกินอาหารปนเปื้อนสารเคมี รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะที่หมอชอบจ่ายให้ ยาคือตัวการฆ่าจุลินทรีย์ภูมิคุ้มกันที่ร้ายกาจที่สุด เหมือนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างไร้ปรานี ยิ่งกว่ากินอาหารปนเปื้อน หรือสูดอากาศไม่บริสุทธิ์เข้าไปอีก
อ่านเพิ่มเติมจากตอน Dysbiosis
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง