เมล็ดฟักทองถูกนำมาใช้ตามประเพณีทั่วโลก (ตั้งแต่เม็กซิโก อินเดีย ไปจนถึงแคริบเบียน) เพื่อใช้เป็นสารอาหารและสารประกอบในการต่อสู้กับโรค วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันเรื่องนี้ โดยนักวิจัยยกย่องศักยภาพ "การรักษาและออกฤทธิ์ทางชีวภาพ" ของเมล็ดฟักทอง (1)
ผงโปรตีนเมล็ดฟักทองทำโดยตรงจากเมล็ดรูปหยดน้ำของฟักทอง แม้ว่าฟักทองโดยรวมจะเต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร แต่เมล็ดของฟักทองก็เป็นแหล่งสารอาหารที่เป็นประโยชน์เหล่านี้อย่างเข้มข้นเป็นพิเศษ
โภชนาการโปรตีนเมล็ดฟักทอง
เมล็ดฟักทองเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินอี แมกนีเซียม โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ รวมทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 (2)
ผงโปรตีนจากเมล็ดฟักทองมีประโยชน์มากมายจากเมล็ดฟักทองทั้งเมล็ด แต่มีรายละเอียดทางโภชนาการที่แตกต่างกันเล็กน้อย กระบวนการสีจำเป็นต้องขจัดไขมันออกจากเมล็ดฟักทอง ดังนั้นผงเมล็ดฟักทองจึงมีแคลอรีและไขมันน้อยกว่าปริมาณที่เท่ากันของเมล็ดฟักทองทั้งหมด ผงเมล็ดฟักทองยังคงอุดมไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ และใยอาหารเช่นเดียวกับเมล็ดทั้งเมล็ด
ประโยชน์ของโปรตีนเมล็ดฟักทอง
นักวิจัยพบว่าสารสกัดจากเมล็ดฟักทองมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและต้านเนื้องอกในมะเร็งหลายชนิด รวมถึงเต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปอด และตับ (3 , 4) อาจเป็นเพราะสารพฤกษเคมีหลายชนิด (สารประกอบจากพืชที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ) ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดฟักทอง
สุขภาพต่อมลูกหมากและกระเพาะปัสสาวะ
น้ำมันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเมล็ดฟักทองได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้อาการทางเดินปัสสาวะดีขึ้น เช่น โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (5 ). สารสกัดจากเมล็ดฟักทองยังแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงสุขภาพของต่อมลูกหมากทั้งในคนและสัตว์ที่มีภาวะต่อมลูกหมากโต (6 7 ) แม้ว่าคุณจะได้รับน้ำมันเหล่านี้ในปริมาณที่ต่ำกว่า (และมีศักยภาพทางการแพทย์น้อยกว่า) โดยการรับประทานเมล็ดฟักทองหรือผงเมล็ดฟักทอง การศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังตามธรรมชาติของเมล็ดฟักทอง
การศึกษาล่าสุดหลายชิ้นเสนอว่าการรับประทานเมล็ดฟักทองอาจช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าได้ (8 9) อาจต้องขอบคุณกรดอะมิโนทริปโตเฟน (1)
การศึกษาหลายชิ้นพบว่าผงเมล็ดฟักทองและสารสกัดจากเมล็ดฟักทองช่วยปรับปรุงตัวบ่งชี้การเผาผลาญในสัตว์ที่เป็นโรคเบาหวาน (1) โปรตีน ไฟเบอร์ และไขมันดีในเมล็ดฟักทองทำให้เมล็ดฟักทองเป็นตัวเลือกที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับอาหารว่างที่เป็นมิตรต่อน้ำตาลในเลือด
หรือที่รู้จักกันในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clitoria ternatea อัญชันเป็นพืชพื้นเมืองในเอเชียที่มีดอกสีฟ้า-ม่วง สดใสโดดเด่น (1).
นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยแอนโทไซยานินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่รับผิดชอบต่อสีที่เป็นเอกลักษณ์ (1).
ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตจึงอาจใช้ดอกอัญชันในเครื่องสำอางหรือเป็นสีย้อมธรรมชาติสำหรับอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งทอ
ยังนิยมนำมาชงเป็นชาสมุนไพร โดยมักใช้ร่วมกับส่วนผสมอย่างตะไคร้ และมะนาว
เมื่อความเป็นกรดของชาดอกอัญชันเปลี่ยนไปสีก็เปลี่ยนตามไปด้วย คุณภาพนี้ทำให้ดอกอัญชันเป็นส่วนผสมยอดนิยมในหมู่นักผสมเครื่องดื่มค็อกเทลพิเศษ (1).
นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้จักในด้านสรรพคุณทางยาและยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย
ดอกอัญชันอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานินที่เรียกว่าเทอร์นาติน ซึ่งทำให้พืชมีสีสันที่สดใส (1).
การศึกษาในหลอดทดลองชี้ให้เห็นว่าเทอร์นาทินสามารถบรรเทาอาการอักเสบและอาจป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (2, 3)
นอกจากนี้ พืชยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ อีกหลายชนิด รวมถึง (4):
Kaemphferol สารประกอบนี้ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางถึงคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง การศึกษาในหลอดทดลองระบุว่าอาจฆ่าเซลล์มะเร็งได้ (5)
กรด p-Coumaric งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่ากรด p-coumaric อาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านจุลชีพ และต้านไวรัส ซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคได้ (6)
เดลฟินิดิน-3,5-กลูโคไซด์. จากการศึกษาหนึ่งพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระนี้อาจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้
GABA หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Gamma-Aminobutyric Acid (แกมม่า อะมิโนบิวทีริก แอซิด) เป็นสารสื่อประสาทที่ทำงานเป็นตัวต้านกระแสประสาท ช่วยลดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ลดความกระสับกระส่าย และความกังวล ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เลยส่งผลให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex)
วิตามินบีรวม คือสารอาหารสำคัญ ซึ่งจะประกอบไปด้วยวิตามินบีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดให้ประโยชน์กับสมอง ระบบประสาท และร่างกายแตกต่างกันออกไป
วิตามินบี 1 (Thiamine)
มีส่วนช่วยในการสร้างสารสื่อประสาท พร้อมช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ และลดอาการวิตกกังวล
วิตามินบี 2 (Riboflavin)
เป็นปัจจัยสำคัญของการหายใจระดับเซลล์ ช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม เล็บ และช่วยในการมองเห็น
วิตามินบี 3 (Nicotinamide)
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและระบบประสาท บรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรน
วิตามินบี 4 (Choline)
วิตามินชนิดนี้ผลิตโดยตับ ช่วยในการพัฒนาสมอง สร้างสัญญาณสื่อประสาท ทำให้มีความจำที่ดีขึ้น อีกทั้งวิตามินชนิดนี้มีส่วนช่วยลดการสะสมของไขมันในเลือดด้วย
วิตามินบี 5 (Pantothenic acid)
มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาท และสร้างฮอร์โมนลดความเครียดของต่อมหมวกไต
วิตามินบี 6 (Pyridoxine)
เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง มีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตสารสื่อประสาท และช่วยสร้างสารต้านอาการซึมเศร้า
วิตามินบี 7 (Biotin)
มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต การสร้างพลังงาน ช่วยให้ระบบประสาทแข็งแรง ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย
วิตามินบี 8 (Inositol)
ช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในร่างกาย บรรเทาอาการเครียด ป้องกันโรคซึมเศร้า และลดความวิตกกังวล
วิตามินบี 9 (Folic acid)
วิตามินบี 9 จำเป็นต้องทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 เพื่อช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการทางประสาท ปวดศีรษะ ขี้หลงขี้ลืม และอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
วิตามินบี 12 (Cobalamin)
ช่วยบำรุงประสาท ทำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น และช่วยเพิ่มสมาธิความจำ
ประโยชน์ของ วิตามินบีรวม (Vitamin B Complex) ต่อคนวัยเรียน
เนื่องจากวิตามินบีเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อสมองและระบบประสาท จึงมีประโยชน์มากกับคนที่กำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้ โดยเราสามารถแบ่งประโยชน์ของวิตามินบีรวมต่อการเรียนรู้ออกมาได้ 4 เรื่องหลัก ดังนี้
1. สมองสดชื่น ปลอดโปร่ง
วิตามินบีเป็นตัวช่วยสร้างพลังงานที่ดี ทำให้รู้สึกสดชื่น ลดอาการอ่อนเพลีย และช่วยให้สมองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ จึงเหมาะกับคนช่วงวัยเรียน
2. ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด
วิตามินบีมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของสารเคมีในร่างกาย จึงสามารถบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล รวมถึงลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าได้
3. เสริมสร้างสมาธิ
วิตามินบีรวมมีส่วนช่วยเสริมสมาธิและความจำ ทำให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
4. บำรุงสมอง และระบบประสาท
การได้รับวิตามินบีอย่างเพียงพอจะช่วยให้สมองและระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้การเรียนรู้เป็นไปได้อย่างราบรื่น
ประกอบไปด้วยโปรตีนสูง รวมทั้งสารสำคัญหลายชนิด อาทิ แร่ธาตุ สังกะสี ธาตุเหล็ก ธาตุซีลีเนียม วิตามินบี12 วิตามินดี และโอเมก้า3
ด้วยส่วนประกอบของโอเมก้า 3 จำนวนมากในหอยนางรม จะช่วยในกระบวนการพัฒนาของสมอง กระบวนการทำงานต่างๆของสมอง ทั้งยังมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดและส่งผลดีโดยรวมต่อหัวใจ จากข้อมูลหลายงานวิจัยพบว่า หอยนางรมที่มีขนาดกลางจำนวน 6 ตัวจะพบโอเมก้าสามมากถึง 427 มิลลิกรัม นอกจากนี้ปริมาณแร่ธาตุสังกะสีและโปรตีนในหอยนางรมที่สูงยังเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยทำให้บาดแผลต่างๆรักษาตัวเองและรวมถึงมีอัตราการหายของแผลที่เร็วขึ้น
กลไกการทำงานและสรรพคุณของ สารสกัดหอยนางรม
ธาตุสังกะสีที่พบในสารสกัดหอยนางรม เป็นธาตุที่สำคัญต่อกระบวนการผลิตฮอร์โมนเพศชาย testosterone ทั้งยังช่วยให้สเปริ์มมีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ธาตุสังกะสียังมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ช่วยให้โลหิตไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดี จึงช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศหรือเพิ่มสมรรถภาพทางเพศชาย ในเพศหญิงการขาดธาตุสังกะสีจะส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ การผลิตไข่ และประจำเดือน การบริโภคสารสกัดหอยนางรมจึงช่วยบำรุงและกระตุ้นระบบสืบพันธ์ทั้งชายและหญิง
สารสกัดหอยนางรมประกอบไปด้วยทอรีนสูง ทอรีนมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการทำงานของหัวใจ ช่วยลดความดันและกล่อมประสาทที่ตอบสนองต่อความเครียด ทำให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น
โอเมก้าสามในหอยนางรม ยังช่วยป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจ เนื่องจากกรดไขมันอีพีเอและกรดไขมันดีเอชเอในโอเมก้าสามช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจมีสุขภาพดี
ทอรีนในสารสกัดหอยนางรม มีส่วนช่วยทำให้สดชื่นและผ่อนคลาย เนื่องจากทอรีนมีฤทธิ์กล่อมประสาทส่วนที่ตอบสนองต่อความเครียด ส่งผลให้ความเครียดเกิดขึ้นน้อยลง
เคลเป็น super food ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับผักชนิดอื่นๆ ในปริมาณที่เท่ากันและป้องกันปัญหาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ ดังต่อไปนี้
1. ช่วยดักจับสารก่อมะเร็ง
kale มี คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซีลีเนียม (Selenium) แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) โพลีฟีนอล (Polyphenols) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ช่วยป้องกันความผิดปกติและอักเสบของเซลล์ในร่างกาย ช่วยต่อต้านความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวเร่งความแก่ของเซลล์ และช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึมสารก่อมะเร็งจากอาหาร
kale ทำให้ระดับไขมันในเลือดลดลง การมีความดันโลหิตปกติจะส่งผลให้แนวโน้มของระดับคอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ลดลง
นอกจากนี้เคลยังช่วยการไหลเวียนเลือดเพราะมีธาตุเหล็กสูงและมีโพแทสเซียม(K) แมกนีเซียม(Mg) ที่ทำให้เลือดลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ ได้ดี ช่วยให้เซลล์เติบโตและจำเป็นต่อการทำงานของตับ และอื่นๆอีกมากมาย
อีกทั้งเคลมีสารออกซาเลต (oxalate) ต่ำ เป็นสารมีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียม(Ca) และแร่ธาตุสำคัญหลายชนิดในกระแสเลือด
kale มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง แต่ให้แคลอรี่ต่ำ ให้คาร์โบไฮเดรตที่มีค่า Glycemic Index (GI) ต่ำ ซึ่งค่านี้บ่งบอกความช้าของอาหารที่มีคาร์บในการเพิ่มน้ำตาลในเลือดจะแตกตัวอย่างช้าๆ ทำให้กลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดอย่างสม่ำเสมอ จึงช่วยรักษาระดับอินซูลินได้ดี
เบต้าแคโรทีนและวิตามินเอใน kale จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อร่างกาย รวมถึงผิวหนัง เส้นผม และดวงตา
ไบโอติน (Biotin) หรือ วิตามินบี 7 (Vitamin B7) หรือ วิตามินเอช (Vitamin H)
เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งมีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบ และจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม มีหน่วยวัดเป็นไมโครกรัม (มคก. หรือ mcg.) โดยมีส่วนสำคัญในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน การสังเคราะห์กรดแอสคอร์บิกต้องใช้ไบโอตินเป็นตัวช่วย โดยแบคทีเรียในลำไส้ก็สามารถสังเคราะห์ไบโอตินได้ สำหรับประโยชน์โดยรวมจะช่วยรักษาสุขภาพผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ โรคจากการขาดไบโอติน ได้แก่ ผมร่วง ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง การเผาผลาญไขมันทำงานไม่สมบูรณ์ เป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณหน้าและตัว
แอล-ธีอะมีน เป็นกรดอมิโนชนิดหนึ่งที่พบได้ในพืชโดยเฉพาะในชาเขียวและชาดำ โดยพบปริมาณร้อยละ 1-2% ของชาแห้ง หรือคิดเป็น 60 มิลลิกรัมต่อน้ำชาปริมาณ 200 มิลลิลิร และในชาจะพบสารนี้ในรูปของ แอลไอโซเมอร์ในรูปแบบของ แอล-ธีอะนีน (L-theanine) สารธีอะนีนประโยชน์สามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปยังสมองได้ดีภายในเวลา 30 นาที ส่งผลให้สมองปลดปล่อยคลื่นสมองอัลฟา (Alpha Brain Wave) ที่ปล่อยออกมาในช่วงเวลาสมองกำลังพักผ่อนให้มากขึ้น และลดการปลดปล่อยคลื่นสมองเบต้า (Beta Brain Wave) ซึ่งเป็นคลื่นที่ปล่อยช่วงภาวะสมองทำงานให้ลดลง นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดธีอะนีนสามารถเพิ่มสารชิโรโทนิน (Serotonin) โดปามีน (Dopamine) และกาบา (Gaba) จึงทำให้เกิดความผ่อนคลาย (Relaxation) และลดความเครียดได้ ส่งผลให้จิตใจสงบ มีสมาธิมากขึ้น ไม่หงุดหงิดง่าย ช่วยให้ลำดับความคิดเป็นระบบระเบียบมากขึ้นมีผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น
แอล-ธีอะนีนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แอล-ธีอะนีนในรูปแบบที่พบในแหล่งอาหารในธรรมชาติที่ร่างกายรับประทานเข้าไปและประเภทที่เป็นสารที่ถูกสกัดหรือสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อให้ร่างกายได้รับประทานเข้าไปแล้วดูดซึมได้ทันที เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสริมต่างๆ ที่ผสมสารสกัดแอล-ธีอะนีน เป็นต้น
1. ช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียด
2. ช่วยลดความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นจากการทำงาน
3. ช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ รวมถึงการมีสมาธิ
4. ช่วยกระตุ้นให้ความคิด สติ ผ่อนคลาย
5. ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานหลายๆงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการเรียนรู้
7. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายใต้สภาวะความเครียด
8. ช่วยเพิ่มประสิทธิในการนอนหลับให้นอนหลับได้สนิทขึ้น
อินูลิน (Inulin) เป็นสารอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตประเภทโพลีแซคคาไรด์ที่ละลายน้ำได้ ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหาร มีลักษณะเป็นเส้นใย (dietary fiber) โครงสร้างโมเลกุลของอินูลินอาจเรียกว่าฟรักแทน (fructan) เนื่องจากมีลักษณะเป็นสายพอลิเมอร์ของน้ำตาลฟรักโทส (fructose) เรียงต่อกัน 10-60 โมเลกุล และมีโมเลกุลที่ปลายสุดด้านหนึ่งเป็นน้ำตาลกลูโคส (glucose) อินูลินพบได้ตามธรรมชาติในพืชผักผลไม้ และสมุนไพรกว่า 3000 ชนิด (Wichienchot, 2011) ในช่วงศตวรรษที่ 18 สารสำคัญถูกพบในรากของต้น Elecampane (Inula helenium) โดย Valentine Rose นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน และถูกตั้งชื่อว่าอินูลินในปี ค.ศ. 1817 พืชที่พบเป็นแหล่งอินูลินโดยธรรมชาติ ได้แก่ รากชิโครี อาร์ติโชค หน่อไม้ฝรั่ง ต้นหอม หัวหอม กล้วย ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และกระเทียม (Bornet, 2008) ปริมาณของอินูลินที่พบในพืชผักชนิด
อินูลินเป็นสารที่ได้รับสถานะ GRAS (Generally recognized as safe) หรือมาตรฐานยอมรับความปลอดภัยในสหรัฐอเมริกา อินูลินถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปโดยใช้เป็นสารทดแทนน้ำตาลหรือไขมันที่ให้พลังงานเพียง 25-35% เมื่อเทียบกับคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยสลายได้ และมีระดับความหวานประมาณ 10% ของน้ำตาลซูโครส อินูลินมีประโยชน์ทางโภชนาการและสุขภาพมากมาย ได้แก่
ทำหน้าที่เป็นใยอาหาร (dietary fiber) ลักษณะพื้นฐานของใยอาหารคือไม่ถูกย่อยสลายในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก จึงไม่ถูกดูดซึมในลำไส้เล็ก โดยกว่า 90% ของอินูลินจะสามารถผ่านลงสู่ลำไส้ใหญ่และเกิดกระบวนการหมักโดยจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ได้ (Turner, 2011) อินูลินจึงมีคุณสมบัติเป็นใยอาหารที่ดี
มีแคลอรี่ต่ำและควบคุมความอยากอาหาร อินูลินเป็นสารอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ โดยให้แคลอรี่เพียง 1.5 kcal/g หรือ 6.3 kJ/g กระบวนการความอยากอาหารเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่หลั่งในทางเดินอาหาร ฮอร์โมนดังกล่าวจะส่งสัญญาณไปที่สมองส่วนไฮโปทาลามัสเพื่อแปลผลเป็นความรู้สึกหิวหรืออิ่ม การมีระดับของ glucagon-like peptide-1 (GLP-1) ในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ระดับความหิวลดลงหรือลดความอยากอาหาร อินูลินเป็นสารที่มีผลต่อฮอร์โมนที่หลั่งในทางเดินอาหารเนื่องจากกระบวนการหมักของอินูลินในลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดกรดไขมันสายสั้น ซึ่งกรดไขมันสายสั้นในลำไส้ใหญ่ที่สูงขึ้นจะไปกระตุ้นการหลั่ง GLP-1 ทำให้ระดับ GLP-1 ในกระแสเลือดเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความอยากอาหารลดลง (Cho, 2009) ดังนั้นอินูลินจึงสามารถใช้ได้ในผู้ที่ควบคุมอาหารหรือจำกัดแคลอรี่ รวมถึงผู้ป่วยเบาหวาน
ผลต่อกระบวนการเผาผลาญไขมัน จากการศึกษาพบว่าการให้อินูลินที่มีประสิทธิภาพสูง (10 กรัมต่อวัน) ผสมในอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงและไขมันต่ำ ส่งผลเชิงบวกต่อระดับไขมันในเลือดโดยลดกระบวนการสร้างไขมันในร่างกาย (lipogenesis) และลดความเข้มข้นของ triacylglycerol ในเลือด ซึ่งส่งผลลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis) (Letexier, 2003) การเสริมอินูลินในอาหารของผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงอาจช่วยปรับปรุงค่าไขมันในเลือดได้ จากผลการทดลองในสัตว์ทดลองพบว่าอินูลินมีอิทธิพลต่อการเผาผลาญไขมันส่วนใหญ่จากการลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และมีผลต่อการลดระดับคอเลสเตอรอลได้เล็กน้อย (Delzenne, 2002)
บรรเทาอาการท้องผูก อินูลินสามารถบรรเทาอาการท้องผูกโดยการเพิ่มความเป็นกรดในลำไส้และทำให้อุจจาระมีปริมาณมากขึ้น (bulking effect) (Anderson, 2009) โดยพบว่าการรับประทานอินูลิน 1 กรัมสามารถเพิ่มมวลอุจจาระได้ 1.5-2 กรัม สามารถเพิ่มความถี่ในการถ่ายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีปัญหาท้องผูก เช่นผู้สูงอายุ ผู้ที่รับประทานน้ำหรืออาหารที่มีกากใยน้อย นอกจากนี้อินูลินยังมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติก (prebiotic) ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้จึงช่วยในการขับถ่ายได้ จากการศึกษาพบว่าการให้อินูลินจากชิโครี 20-40 กรัมต่อวันช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ (Fernández-Bañares, 2006) โดยพบผลข้างเคียงอาการท้องอืดจากก๊าซในกระบวนการหมักในทางเดินอาหารค่อนข้างน้อยในศึกษาด้วยการรับประทานสารสกัดชิโครีที่มีอินูลินปริมาณสูง 5 กรัมต่อวัน (Ripoll, 2010)
มีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติก (prebiotic) บริเวณลำไส้ใหญ่เป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรียกว่า 400 ชนิด โดยพบว่าแบคทีเรียชนิดดีในทางเดินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่สำคัญ ได้แก่ Lactobacilli และ Bifidobacteria อินูลินเป็นอาหารที่ไม่สามารถถูกย่อยในทางเดินอาหาร มีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและการทำงานของแบคทีเรียทั้งสองชนิดดังกล่าว จากการศึกษาพบว่าการเติมอินูลินลงในนมไขมันต่ำจะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตและการมีชีวิตรอดของเชื้อ Lactobacillus acidophilus, Lactobacillus rhamnosus และ Bifidobacterium lactis โดยไม่ทำให้รสชาติของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลง ดังนั้นอินูลินจึงถูกใช้เป็นสารทดแทนไขมันในผลิตภัณฑ์นมปราศจากไขมัน (Oilveira, 2011; Akin, 2007) การรับประทานอินูลินและโอลิโกฟรักโทสในผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินอาหารสามารถช่วยสร้างสมดุลของเชื้อจุลชีพในทางเดินอาหาร ป้องกันการโจมตีของแบคทีเรียชนิดร้าย และยับยั้งปัญหาการเกิดโรคในทางเดินอาหารได้ (Bosscher, 2006)
ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินอาหาร อินูลินถูกใช้ในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางเดินอาหารต่างๆ ได้แก่ โรคลำไส้แปรปรวน (irritable bowel disease: IBD) ซึ่งรวมถึงโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (ulcerative colitis) และโรคโครห์น (Crohn's disease) และมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่าการให้โพรไบโอติก (B. longum) ร่วมกับพรีไบโอติก (อินูลินและโอลิโกฟรักโทส) สามารถลดการอักเสบของลำไส้ในผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบได้ (Furrie, 2005) การให้อินูลินและโอลิโกฟรักโทส 15 กรัม เป็นเวลา 21 วันแก่ผู้ป่วยสามารถลดการเกิดโรคโครห์นและเพิ่มปริมาณ Bifidobacteria ในลำไส้ได้ (Lindsay, 2006) นอกจากนี้จากการศึกษาของ Rafter และคณะพบว่าการให้อินูลินร่วมกับโพรไบโอติก (Lactobacillus rhamnosus และ Bifidobacterium lactis)
จบเรื่องราวของการคิดค้นอันยาวนาน
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง